วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ตอน ๑๓ ... ฟ้าร้องไห้


โพธิขวาง

๑๓  ฟ้าร้องไห้

พอเรื่องร้าย เรื่องเศร้าของวัดโพธิสวรรค์ฯ จืดจางไป ก็มีเรื่องดีเรื่องตื่นเต้นตามมา เป็นธรรมดาของโลก สลับกันอยู่อย่างนี้
บุหรง สุนทรบุรี ได้นำข่าวดีมาแจ้งให้หลวงพ่อเพ็งทราบว่า ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนสมณศักดิ์พระครูญาณวิสุทธิ์ ขึ้นเป็นพระราชาคณะ มีราชทินนามว่า “พระญาณสมโพธิ”
หลวงพ่อฟังข่าวดีด้วยอาการปกติ ไม่พูดว่าอะไร ลุกขึ้นไปจุดธูปเทียนบูชาพระอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็กลับออกมานั่งที่เดิม
“ก็เป็นพระเดชพระคุณ ที่ได้ทรงโปรดกรุณา ยกวัดโพธิขวางขึ้นเป็นวัดโพธิสวรรค์ฯ ครั้งหนึ่งแล้ว  นี่ก็มายกฉันอีก เป็นศิริมงคลแก่วัดและพระศาสนา” หลวงพ่อพูดช้าๆ “ฉันได้นมัสการพระพุทธองค์ถวายพระพรแล้ว”
หลวงพ่อเคยพูดเสมอว่า พุทธศาสนาจะรุ่งเรืองอยู่ได้ก็เพราะมีพระมหากษัตริย์ หรือผู้ปกครองประเทศนับถือพระพุทธศาสนา
ครั้นแล้วก็ใกล้เวลากำหนด เสด็จพระราชดำเนินมายกช่อฟ้าอุโบสถวัดโพธิสวรรค์วราวาส
ทางวัดได้เตรียมการรับเสด็จอย่างแข็งแรง มีทางอำเภอและจังหวัดมาช่วยวางแผนการรับเสด็จด้วย  ได้ปลูกพลับพลาที่ประทับขึ้นตรงหน้าอุโบสถ เว้นระยะห่างออกไปประมาณ ๑๐๐ เมตร เป็นแบบจตุรมุขทรงไทย หลังคาแดง อาคารทาสีขาว ผูกม่านสีเหลือง ประดับด้วยกระถางไม้ดอก ประดับด้วยราชฉัตร อัครธง กล้วย อ้อย  ตลอดทางจากหน้าวัดเข้ามาถึงพลับพลา มีปะรำที่เฝ้ารับเสด็จอยู่ ๒ ข้าง พลับพลาเยื้องมาทางด้านหน้า  ถนนหนทาง บริเวณทั่วไปทำความสะอาดเรียบร้อย  เตรียมหยิบยืมเครื่องใช้และของอย่างดี โต๊ะ พระเก้าอี้ที่ประทับ ติดต่อขอยืมมาจากสำนักพระราชวัง พร้อมทั้งลาดพระบาท มีเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังมาช่วยให้คำแนะนำ มีทหารที่ท่านแม่ทัพภาคส่งมาช่วยจัดงาน ในวันงานท่านแม่ทัพภาคยังได้จัดกองทหารเกียรติยศมาอีก ๑ กองร้อย ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ท่านผู้ว่าราชการจังหวัด มาอำนวยการจัดงานรับเสด็จพร้อมหน้า  มีการตั้งโต๊ะหมู่บูชาสองฝั่งทางเสด็จพระราชดำเนิน เตรียมรายชื่อผู้ที่จะถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศล เตรียมสายสูตรชักรอกยกช่อฟ้าไว้พร้อมสรรพ เตรียมสถานที่ออกรถไว้ทางหนึ่ง  เตรียมลูกเสือชาวบ้าน จำนวน ๑๐๘ รุ่นของจังหวัดมาเฝ้ารับเสด็จ โดยให้นั่งราบกับพื้นสนามหน้าอุโบสถ ตรงหน้าที่ประทับ เว้นช่องทางตรงกลางไว้ สำหรับเสด็จพระราชดำเนินไปยกช่อฟ้า  ประชาชนตื่นเต้นกันไปทั่วทุกท้องถิ่น เลื่องลืออื้ออึงถึงการเสด็จพระราชดำเนินครั้งนี้ไปทั่วหน้า เตรียมตัวมาเฝ้ารับเสด็จกันด้วยความตื่นเต้น  บ้างเตรียมเครื่องแต่งตัวรับเสด็จ บ้างเตรียมผ้าไว้ปูรองรับพระบาท บ้างเตรียมพวงมาลัย บ้างเตรียมการละเล่นถวายทอดพระเนตร บ้างเตรียมเงินถวายโดยเสด็จพระราชกุศล บ้างฝึกหัดการถวายบังคม  คนแก่ คนเฒ่า หญิงชายชาวบ้าน เตรียมรับเสด็จกันทั่วหน้า ด้วยยังไม่เคยเฝ้ารับเสด็จชมพระบารมีโดยใกล้ชิดเลย เพราะยังไม่เคยเสด็จประพาสอำเภอนี้มาก่อน  ประชาชนพ่อค้า ข้าราชการ เตรียมงานรับเสด็จกันทั่วหน้า
วันเสด็จพระราชดำเนินนั้น ประชาชนหลั่งไหลกันมาทั่วทุกสารทิศ  ข้าราชการ ตำรวจ แต่งตัวเต็มยศ  ลูกเสือแต่งลูกเสือชาวบ้าน  คนในบริเวณวัดโพธิสวรรค์ฯ อันกว้างใหญ่ ล้นหลามไปหมด อย่างชนิดที่เรียกว่ามืดฟ้ามัวดิน  รถยนต์แล่นมาหน้าวัดเป็นขบวนยาวยืด ตำรวจต้องเหน็ดเหนื่อยในการจัดการจราจร รักษาความสงบเรียบร้อย  เฉพาะลูกเสือชาวบ้าน ๑๐๘ รุ่น ก็ตกถึง ๒๐,๐๐๐ คนเศษแล้ว ยังมีทหาร ตำรวจ ข้าราชการ และประชาชนชาวบ้านอีก  บริเวณวัดโพธิสวรรค์ฯ แน่นขนัดอัดแอไปด้วยผู้คน ซึ่งล้วนแต่มีความจงรักภักดีมารอรับเสด็จอยู่ตั้งแต่เช้า  จนกระทั่งเวลาบ่ายสองโมง ขบวนเสด็จพระราชดำเนินก็มาถึง  กองทหารรักษาพระองค์ กองทหารเกียรติยศ ข้าราชการ ตำรวจ และลูกเสือชาวบ้านยืนขึ้นพร้อมกัน  ทหารบอกถวายคำนับ แตรวงบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี จบแล้วประชาชนทั้งนั้นพร้อมกันไชโย ๓ ครั้ง  เสด็จเข้าประทับยังพลับพลาแล้ว ผู้ว่าราชการอ่านคำถวายบังคมทูลถวายรายงาน ใจความว่า วัดนี้เป็นวัดโบราณเดิมชื่อวัดโพธิขวาง ตั้งมากว่า ๓๐๐ ปี  บัดนี้ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามใหม่ว่า วัดโพธิสวรรค์วราวาส  เจ้าอาวาสชื่อ พระญาณสมโพธิ ได้สร้างความเจริญให้แก่วัดเป็นปึกแผ่น มีสิ่งก่อสร้างเป็นตึกสวยงาม มีทั้งอุโบสถ ศาลาธรรม ศาลากรรมฐาน ศาลาทาน ศาลาปลงธรรม เกิดขึ้นใหม่ในระยะเวลาเพียง ๓ ปี เหมือนดังว่าเทวดาเนรมิต ทั้งนี้เพราะบุญบารมีของพระญาณสมโพธิ เจ้าอาวาสปัจจุบัน และพระบรมโพธิสมภารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว องค์เอกอัครศาสนูปถัมภก ได้ทรงเป็นกำลังส่งเสริมอยู่เบื้องหลัง จึงได้จารึกพระปรมาภิไธยย่อไว้ที่หน้าบันอุโบสถเป็นพระบรมราชานุสรณ์ เป็นศิริมงคลสืบต่อไปชั่วกาลนานหาที่สุดมิได้  บัดนี้ได้เวลาอันเป็นมหามงคลอุดมฤกษ์แล้ว ขอพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณกระทำพิธียกช่อฟ้าอุโบสถต่อไป ณ บัดนี้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงได้เสด็จพระราชดำเนินจากพลับพลาที่ประทับ ไปยังหน้าอุโบสถ ทรงชักสายสูตรยกช่อฟ้าขึ้น แตรวงบรรเลงเพลงมหาฤกษ์ เจ้าหน้าที่จุดพลุสัญญาณ ประชาชนเปล่งเสียงไชโยกึกก้องไปทั่วบริเวณงาน
ต่อจากนั้นก็เป็นการเข้าถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศล มีคนนำเงินเข้าถวายถึง ๓๕ คน รวมได้เงินทั้งสิ้น ๕๐๐,๐๐๐ บาท ได้โปรดพระราชทานให้วัดโพธิสวรรค์วราวาสไว้เป็นทุนมูลนิธิส่งเสริมการศึกษาพระพุทธศาสนาต่อไป  ต่อไปก็เป็นการแสดงการละเล่นของลูกเสือชาวบ้านด้วยการรำถวายพระพร ๑ ชุด จึงเสด็จพระราชดำเนินกลับ  ดำรัสสั่งให้พระญาณสมโพธิเข้าเฝ้าในวันรุ่งขึ้นด้วย
หลวงพ่อพระญาณสมโพธิ ได้ไปเข้าเฝ้าตามรับสั่งเป็นการส่วนพระองค์ แล้วก็กลับวัด  พระเณรผู้คนก็อยากรู้ว่าให้เข้าเฝ้าเรื่องอะไร
“ก็ทรงไต่ถามถึงกิจการของวัด ทรงสอบถามถึงวิธีการสร้างวัด รับสั่งชมว่าวางผังวัดได้สวยงามเป็นระเบียบ เป็นแบบอย่างที่ดี สร้างแต่สิ่งที่ใช้ประโยชน์ ไม่ฟุ่มเฟือย  รับสั่งว่าสร้างศาลาต่างๆ ได้เหมาะสมแก่การใช้ประโยชน์ พอเหมาะกับงาน และชมว่าเข้าใจตั้งชื่อศาลาต่างๆ”
พระญาณสมโพธิ เล่าเรื่องสรุปการเข้าเฝ้าอย่างนี้
“ฉันได้ถวายพระสมเด็จพุฒาจารย์ ๑ องค์  จะถวายของที่วัดทำขึ้นก็ใหม่นัก เลยถวายพระสมเด็จ อายุตั้ง ๑๐๐ ปีไป”
คำนี้ทำให้พระอาจารย์เปรื่องอ้าปากค้าง เพราะหวังว่าหลวงพ่อจะให้แก่ตนเมื่อหลวงพ่อสิ้นบุญ
“คุณเปรื่องไม่ต้องตกใจ ผมยังมีอีกองค์หนึ่ง” หลวงพ่อพูดอย่างรู้ใจ
“หลวงพ่อได้มาจากไหนครับ?”
“ตาแย้ม แกไปขอเช่ามาจากคราวเปิดกรุ ๒ องค์ เอามาถวายผมไว้องค์หนึ่ง  ผมจะเก็บเอาไว้ให้คุณ”
ดูเหมือนหลวงพ่อจะได้กำหนดตัวสมภารแทนท่านไว้แล้วล่วงหน้า จึงได้พูดเป็นนัยไว้เช่นนี้
พระอาจารย์เปรื่อง เป็นภิกษุวัยอาวุโสในวัด อายุถึง ๕๑ ปี บวชมาแล้ว ๓๐ พรรษา เป็นพระภิกษุผู้ใหญ่ในวัด พระเณรเคารพนับถือรองจากหลวงพ่อ  สมภารสว่างมรณภาพมาแล้วหลายเดือน แต่ทางเจ้าคณะจังหวัดก็ไม่ได้ตั้งใครแทน  นับว่าไม่มีพระภิกษุองค์ใดสมัครเป็นสมภารวัดโพธิสวรรค์ฯ ด้วยกลัวว่าจะแพ้บารมีหลวงพ่อ จะอายุสั้น
“ท่านสมภารสว่างน่ะ เปรียบเหมือนเทียนที่ถูกลมพัดจวนจะดับมิดับแหล่” หลวงพ่อพูด “ถ้ารู้จักเก็บตัว ถือศีลภาวนาอยู่แต่ในวัด เหมือนจัดเทียนไว้ในที่ลับลม ก็ไม่ดับ  นี่ท่านออกไปปะทะลมแรงข้างนอก จึงดับเหมือนเทียนถูกลมพัด”
หลวงพ่อเปรียบความให้ฟังเช่นนี้ พระอาจารย์เปรื่องฟังแล้วก็สว่างกระจ่างใจ ว่าเวรกรรมนั้นอาจจะระงับดับได้ ด้วยการกระทำดีในปัจจุบัน ก็อาจจะป้องกันกรรมในอดีตให้เบาบางลงพอประคองตัวไว้ได้
“บาปกรรมก็เหมือนไฟ บุญกรรมก็เหมือนน้ำ” หลวงพ่อว่า “น้ำน้อยก็ย่อมแพ้ไฟ น้ำมากก็ดับไฟได้”
พระอาจารย์เปรื่อง ได้ฟังแล้วก็นึกย้อนถึงตัวเอง เคยทำบาปฆ่าคนตายเมื่อสมัยรุ่นหนุ่ม บวชมาได้ ๓๑ ปีแล้ว เวรกรรมก็ยังตามมาไม่ทัน
“เมื่อเรารู้ตัวว่ามีเวรกรรม ก็อย่าแร่ลุกรนไปหา เวรกรรมจะตามมาทัน เหมือนดั่งหมาไล่เนื้อ  หมั่นบำเพ็ญบุญ บำเพ็ญสมณธรรมให้มาก  ก็อาจระงับเวรกรรมได้ เป็นอโหสิกรรม”
หลวงพ่อพูดเหมือนรู้ใจพระอาจารย์เปรื่อง พูดเหมือนแทงใจดำ  พระอาจารย์เปรื่องเคยได้ยินท่านพูดเรื่องที่กำลังคิดอยู่เสมอๆ หลายเรื่องหลายหนเต็มที พระอาจารย์เปรื่อง จึงเคารพนับถือหลวงพ่ออย่างยิ่ง  นึกแต่ในใจว่าท่านไม่ใช่พระสงฆ์ธรรมดา ท่านต้องเป็นพระอริยสงฆ์เป็นแน่นอน เพราะบางครั้งท่านแสดงอะไรให้รู้ได้ว่า ท่านมิได้เป็นพระสงฆ์ธรรมดา
ดูแต่เรื่องถนนจะแล่นผ่านหลังวัด มีรถยนต์แล่นไปมา ท่านก็ทราบล่วงหน้ามาตั้ง ๓-๔ ปี
กำหนดวันตายของท่านก็กำหนดไว้ล่วงหน้า คนทั้งหลายขออาราธนาให้อยู่สร้างโบสถ์ก่อน ท่านก็ติดต่อกับพญามัจจุราชขออยู่ได้อีก ๓ ปี
นึกถึงเรื่องนี้แล้ว พระอาจารย์เปรื่องก็ใจหาย  กำหนดเวลา ๓ ปีที่ว่านั้น วันเวลาก็ผ่านมาโดยรวดเร็ว  เหลือเวลาอีกเพียง ๑ เดือนเท่านั้น หลวงพ่อจะมีอายุครบ ๙๐ ปีบริบูรณ์
นึกๆ แล้วก็ไม่อยากเชื่อ เพราะหลวงพ่อถึงจะมีอายุถึงปานนี้ก็ยังแข็งแกร่ง เดินเหินได้คล่อง ไม่เคยเจ็บป่วยด้วยโรคภัยอะไรเลย
แต่เมื่อเรื่องต่างๆ ที่ท่านพูดเป็นจริงหมดทุกอย่างไม่เคยผิดพลาด แม้จนกระทั่งชี้ที่ให้เจาะขุดน้ำบาดาลในวัด ท่านชี้ลงไปให้ขุดตรงนี้จะมีน้ำ  ไม่ต้องใช้เครื่องมืออะไรมาตรวจมาสอบ ขุดลงไปก็ได้น้ำจริงๆ
เรื่องที่ท่านพูดถึงตัวท่านเอง เรื่องกำหนดวันตายของท่านเอง ว่าท่านจะสิ้นอายุขัยวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๔ ก็เห็นจะต้องเชื่อท่าน
วันนั้นเป็นวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔  เหตุการณ์ของวัดโพธิสวรรค์ฯ ก็เป็นไปตามปกติธรรมดา ไม่มีอะไรผิดปกติกว่าเคย  จนกระทั่งตกเย็น พระก็ลงโบสถ์สวดมนต์ทำวัตรเย็น และฟังพระปาฏิโมกข์  ไม่มีพระเณรรูปใดขาด หลวงพ่อหรือเจ้าคุณญาณสมโพธิก็ลงโบสถ์เหมือนเคย ท่านนั่งเป็นประธานอยู่ตรงหน้าพระประธาน มีหมอนขวานพิง เพราะวัยชราภาพมากแล้ว  ท่านนั่งประนมมือ หลับตาฟังพระปาฏิโมกข์ไปพลางๆ พระเณรก็นั่งฟังพระปาฏิโมกข์ ลืมตาบ้างหลับตาบ้าง  ขณะนั้นพระอาจารย์เปรื่องนั่งอยู่ทางด้านขวาของหลวงพ่อ หันหน้าเข้าไปทางด้านข้างของท่าน ขณะนั้นพระอาจารย์เปรื่องแลเห็นท่านนั่งง่วงหงุบลงมาข้างหน้า แล้วก็พลิกกลับมาทางด้านขวา  ทีแรกพระอาจารย์เปรื่องก็คิดว่าท่านนั่งหลับ แต่สังเกตดูก็รู้สึกว่าไม่ใช่หลับธรรมดา ดูเหมือนท่านจะเป็นลม เพราะหน้าซีดเผือดลง จึงเข้าไปประคอง  พอจับต้องตัวท่าน พระอาจารย์เปรื่องก็รู้ได้ทันทีว่าท่านสิ้นเสียแล้ว เพราะตัวเย็นชืด
พระอาจารย์เปรื่อง นึกออกว่าวันนี้ เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔  นึกเท่านั้นพระอาจารย์เปรื่องก็ร้องไห้ฮือๆ
พระเณรทั้งหมดตกใจ พระสวดพระปาฏิโมกข์ก็หยุดสวด  พระอาจารย์เปรื่องยังนั่งประคองหลวงพ่ออยู่
ทุกคนก็แลเห็นชัดว่า หลวงพ่อเพ็งนั่งหลับตา  เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่าหลวงพ่อมรณภาพแล้ว
“หลวงพ่อสิ้นแล้ว” พระอาจารย์เปรื่องพูดพลางร้องไห้พลาง
หลวงพ่อเพ็ง หรือ พระญาณสมโพธิ นั่งมรณภาพในวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔  ท่ามกลางพระภิกษุสามเณรที่กำลังฟังพระปาฏิโมกข์อยู่ในอุโบสถ
พระเณรเกิดวุ่นวายกันพักใหญ่ บ้างร้องไห้ บ้างก็วิ่งวนไปมา บ้างก็เข้ามากราบ บ้างก็ยืนประนมมืออยู่ ไม่มีใครเป็นอันทำอะไรได้  เพราะขณะนั้นฝนตกลงมาขนาดใหญ่ ท้องฟ้าลั่นครืนๆ อยู่เหนือโบสถ์เป็นเวลาช้านาน  เหมือนฟ้าร้องไห้คร่ำครวญ  มีพระเห็นพระประธานน้ำพระเนตรไหลพรากอาบพระพักตร์.




(จบบริบูรณ์)


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น