วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2558

ตอน ๕ ...พายเรือวนในอ่าง


โพธิขวาง

๕. พายเรือวนในอ่าง


บ่าย ๔ โมงวันนั้น มีผู้คนมามากหน้าหลายตาที่วัดโพธิขวาง  คนเหล่านั้นมีทั้งผู้ชาย ผู้หญิง วัยหนุ่มสาว และวัยสูงอายุ ต่างพากันทยอยขึ้นไปบนศาลาวัด  คนพวกนี้ก็คือคณะกรรมการพัฒนาวัดที่ท่านเจ้าอาวาสแต่งตั้งขึ้น  ท่านพระมหาสว่าง โอภาโส หรือโอภาโสภิกขุ นั่งรออยู่บนศาลาก่อนแล้ว  ให้พระภิกษุหนุ่มเอาสมุดมาให้คนเหล่านั้นลงชื่อ  เมื่อนับจำนวนคนที่ลงชื่อแล้วได้ ๘๗ คน  พระมหาสว่างจึงได้กระทำพิธีเปิดประชุมเป็นทางการ จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย สวดมนต์แล้วก็กล่าวเปิดประชุม
ใจความโดยย่อที่ท่านประธานพูดก็คือ  เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ท่านพระครูญาณวิสุทธิ์ เจ้าอาวาสกิตติมศักดิ์ ได้เปิดกรุพระเจดีย์หน้าโบสถ์ พบพระสมเด็จในกรุจำนวน ๓๙๗ องค์  เป็นพระสมเด็จแท้ มีค่าองค์ละไม่ต่ำกว่า ๑,๐๐๐ บาท ถึง ๑๐,๐๐๐ บาท  นักเลงพระบางคนก็หาเช่ากันในราคา ๕๐,๐๐๐ บาท ถึง ๑๐๐,๐๐๐ บาทก็มี รวมแล้วมีราคาประมาณ ๔๐๐,๐๐๐ บาท ถึง ๔ ล้านบาท  เป็นสมบัติของวัดนี้  แต่ท่านพระครูได้ยินยอมมอบพระให้แก่ทางศึกษาธิการอำเภอไปทั้งหมด ว่าจะเอาไว้จำหน่าย เอาเงินมาสร้างโบสถ์ใหม่  หรืออาจจะต้องมอบให้แก่ทางอำเภอไปเป็นของหลวง  แต่ท่านมหาสว่างเห็นว่าพระสมเด็จจำนวนนี้มีค่ามหาศาล เป็นสมบัติของวัด วัดจะต้องเก็บรักษาเอาไว้เอง  การที่ยินยอมมอบให้ทางอำเภอไปจึงไม่ถูกต้อง  เพราะวัดเป็นนิติบุคคล เจ้าอาวาสมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของวัดทั้งหมด ผู้อื่นไม่มีอำนาจมอบสมบัติของวัดไป ทางอำเภอก็ไม่มีสิทธิจะมาริบเอาทรัพย์ของวัดไป  อีกประการหนึ่ง วัดก็กำลังจะทำการพัฒนาหลายอย่าง จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก  จึงได้เรียกประชุมกรรมการพัฒนาวัดว่าจะทำอย่างไรกันต่อไป
“ต้องเอาคืนมา”
“ทำอย่างนี้ไม่ถูกต้อง”
“ยักยอกทรัพย์ของวัด”
“ต้องลงชื่อกันยื่นคำร้อง”
“ต้องฟ้องศาล”
ต่างคนต่างเสนอความคิดเห็นกันฟังไม่ได้ศัพท์
ตอนนี้ นายเงื่อน สุขสันโดษ ได้ยกมือขึ้นขอพูด แต่ไม่ได้รับความสนใจ  จึงลุกขึ้นพูดด้วยเสียงอันดัง จนคนอื่นเงียบเสียงลง...
“ท่านประธานครับ วันนี้ผมไม่ได้รับเชิญให้มาประชุมหรอก ผมมาของผมเอง เพราะผมก็เป็นกรรมการพัฒนาวัด ยังไม่ได้ถูกถอด”
เสียงคนหัวเราะกัน
“ตามที่ท่านประธานพูดให้ที่ประชุมฟังนั้นยังคลาดเคลื่อน  ข้อเท็จจริง ความจริงผมรู้เห็นโดยตลอด รวมทั้งท่านกำนันเชื้อ ที่นั่งอยู่นี่ด้วย  ผมจะขอพูดให้ฟัง”
“เอา พูดไป พูดให้จริงนะ” เสียงคนพูดสอดขึ้นมาจากที่ประชุม
“ที่ว่าหลวงพ่อเพ็งเปิดกรุนั้นเป็นข้อเท็จ ข้อจริงก็คือท่านมหาสว่างขึ้นไปเปิดกรุเอง ต่อหน้าผม  ท่านกำนันเชื้อที่นั่งอยู่ที่นี่ก็รู้เห็นเป็นพยานได้”
คนทั้งหมดเงียบกริบ
“ที่ว่าหลวงพ่อเพ็งยินยอมมอบพระให้ศึกษาธิการอำเภอไป ก็คลาดเคลื่อน   ความจริงศึกษาธิการอำเภอบอกว่าพระที่มีอยู่อายุ ๑๐๐ ปี เป็นโบราณวัตถุ  ตามกฎหมายต้องตกเป็นทรัพย์แผ่นดิน ใครจะเก็บรักษาไว้มีความผิด  จึงเอาไปฝากตู้เซฟธนาคารไว้ มีกรรมการรู้เห็น ๓ คน  คือ ศึกษาธิการอำเภอ กำนันเชื้อ แล้วก็ผม ถือกุญแจคนละดอก ประทับตราตีครั่งเรียบร้อย  การเปิดเซฟต้องไปพร้อมกัน ๓ คน จึงจะไขได้  มีบันทึก ๓ ฉบับตรงกัน ยึดถือไว้คนละฉบับ  ศึกษาธิการอำเภอ ๑ ฉบับ กำนันเชื้อ ๑ ฉบับ ผม ๑ ฉบับ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟัง  ผมเห็นว่าการเก็บรักษาอย่างนี้ปลอดภัยที่สุด ดีกว่าเก็บรักษาไว้เองที่วัดหลายเท่า ไม่มีใครจะมายักยอกเปลี่ยนแปลงได้”
ที่ประชุมเงียบ ไม่มีผู้โต้แย้ง
“ทำไมจึงไม่เก็บฝากไว้ในคลังของทางราชการ เหตุใดจึงฝากธนาคารเอกชน” ท่านมหาสว่างแย้ง
“ท่านศึกษาธิการอำเภอบอกว่า การฝากคลังของทางราชการ อาจจะตกเป็นของทางราชการทั้งหมด กรมศิลปากรอาจเอาไปเก็บรักษาหรือจำหน่ายเป็นของหลวง  ที่ทำเช่นนี้เป็นการทำกึ่งราชการเท่านั้น  ถ้าตกลงปรองดองกันได้ ไม่มีเรื่องอื้อฉาว ก็จะได้นำเอามาจำหน่ายให้ผู้ที่เขาศรัทธา เอาเงินมาเป็นทุนสร้างโบสถ์ต่อไปได้” นายเงื่อนอธิบาย
“ผมว่า เราอย่าทำอะไรเอะอะไปดีกว่า เดี๋ยววัดจะไม่ได้อะไรเลย เสียประโยชน์เปล่าๆ  เฉยๆ ไว้แล้วค่อยพูดจาตกลงกับท่านศึกษาธิการอำเภอ เอาพระออกมาให้เช่า เอาเงินไว้เป็นทุนสร้างโบสถ์ดีกว่า”
“ใครเห็นด้วยยกมือขึ้น” นายเงื่อนทำหน้าที่ประธานเสียเอง
มีผู้ยกมือ ๕๑ คน ไม่ยกมือ ๓๖ คน
“แล้วใครจะเป็นผู้ตีราคา?” พระมหาสว่างถาม
“ก็กรรมการเก็บรักษา ๓ คน” นายเงื่อนตอบ
“ไม่ได้ ไม่ถูกต้อง ทางวัดต้องเป็นผู้ตีราคา” พระมหาสว่างค้าน
“ตีราคาก็ตีไปซีครับ กรรมการเขาก็ต้องฟังเสียงส่วนใหญ่  แต่ตีราคาสูงเกินไป คนยากคนจนอยากได้ ก็จะไม่มีปัญญาเช่า  กรรมการจะต้องชี้ขาด ถือราคาปานกลาง” นายเงื่อนว่า
“ผมว่าที่ประชุมกรรมการวัดเรานี่แหละ ตีราคาเสนอไปให้ท่านศึกษาธิการอำเภอ ท่านจะได้นัดกรรมการเก็บรักษาพิจารณาอีกที” กำนันเชื้อพูดเป็นหลักฐาน
“ผมว่า ๕๐๐”
“ผมว่า ๑,๐๐๐”
“ผมว่า ๒,๐๐๐”
“ฉันว่า ๓,๐๐๐”
ที่ประชุมพูดกันเอะอะ
“อาตมาว่า ๕,๐๐๐ บาท กำลังสวย  เพราะทางวัดต้องการใช้เงินมาก” พระมหาสว่างว่า “สมัยนี้เงิน ๕,๐๐๐ บาท ไม่มากอะไร  พระสมเด็จเขาเช่ากันองค์ละ ๑๐,๐๐๐ บาท ๕๐,๐๐๐ บาทก็มี”
“อย่าลืมว่าตั้งราคาสูงเกินไป ก็จะตกไปอยู่ในมือพ่อค้า คนมั่งมี นักเล่นพระค้าพระเครื่องขายกินกัน  คนยากจนจะไม่มีปัญญาเช่า  ทางวัดไม่ควรเห็นแก่เงินจนเกินไป ทางวัดอย่าไปทำตัวเป็นพ่อค้าหน้าเลือด” นายเงื่อนพูด “ผมว่าองค์ละ ๕๐๐ บาทก็พอแล้ว”
“ผมว่า ๑,๐๐๐ บาท กำลังดี” กำนันว่า
“เอา ใครเห็นว่าองค์ละ ๕๐๐ บาท?”
มีคนยกมือ ๒๕ คน
“ใครเห็นว่า ๑,๐๐๐ บาท?”
มีคนยกมือ ๓๖ คน
“ใครว่า ๒,๐๐๐ บาท?”
มีคนยกมือ ๖ คน
“ใครว่า ๓,๐๐๐ บาท?”
มีคนยกมือ ๒ คน
“ใครว่า ๕,๐๐๐ บาท?”
ไม่มีคนยกมือเลย
คนไม่ยกมือเลยสักอย่าง มีหลายคน
“เป็นอันว่า ๑,๐๐๐ บาท ชนะ” กำนันเชื้อประกาศ
“๓๙๗ องค์ องค์ละ ๑,๐๐๐ บาท  จะได้เงินทั้งหมด ๓๙๗,๐๐๐ บาท” นายเงื่อนประกาศต่อ
“เงินจำนวนนี้ ใครจะเก็บรักษาไว้ที่ไหน?” พระมหาสว่างเป็นห่วง
“ก็ฝากไว้ในธนาคาร ในนามของคณะกรรมการ” นายเงื่อนตอบ
“กรรมการมีใครบ้าง?”
“ก็กรรมการ ๓ นายที่เก็บรักษาพระไว้”
“ทำไมจึงไม่ให้เจ้าอาวาสเป็นกรรมการด้วย?” พระมหาสว่างตั้งปัญหา
“ท่านเป็นพระเป็นสงฆ์ อย่ามายุ่งเกี่ยวกับเงินทองให้ศีลด่างพร้อยมัวหมองเลยครับ  ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฆราวาสเขาดีกว่า” นายเงื่อนพูด
“ถ้ากรรมการคนหนึ่งคนใดล้มตายไป?”
“กรรมการที่เหลืออยู่เขาก็รับผิดชอบ แต่งตั้งขึ้นใหม่ให้ครบคณะ ๓ คน  ท่านไม่ต้องห่วง”
“ถ้ากรรมการรวมหัวกันคดโกง?”
“ตะรางครับ ไม่มีใครอยากติดคุกหรอก”
ดูเหมือนคนส่วนใหญ่ในที่ประชุมพอใจ ไม่มีผู้ใดพูดโต้แย้งอะไร
แต่สำหรับพระมหาสว่าง เจ้าอาวาสหนุ่ม  ต้องกลายเป็นผู้พ่ายแพ้อีกครั้งหนึ่ง จึงมีสีหน้าคร่ำเครียดหม่นหมอง
รุ่งขึ้นก็มีผู้คนไปติดต่อขอเช่าพระสมเด็จกันมากมาย  คณะกรรมการ ๓ นาย จึงไปเบิกพระสมเด็จมา ให้เช่าไปองค์ละ ๑,๐๐๐ บาท ออกใบรับเงินให้เรียบร้อยทุกราย  ทำบัญชีรายชื่อผู้เช่าพระไว้เป็นหลักฐาน มีรายชื่อผู้เช่าทุกคน  ส่งเงินฝากธนาคารโดยเรียบร้อย  ตอนบ่ายมีคนแห่กันมาขอเช่าอีกมาก มีทั้งข้าราชการ พ่อค้า คหบดี  ถึงขนาดเข้าคิวเช่าซื้อกันทีเดียว จนต้องออกกฎว่าคนหนึ่งจะเช่าได้เพียง ๑ องค์เท่านั้น  เพราะปรากฏว่าบางคนเตรียมเงินมาเช่าถึง ๑๐ องค์ก็มี  ที่ขอเช่าคนละ ๒ องค์ ๓ องค์ก็มาก  กำนันเชื้อ กับบุหรง ก็ต้องรีบเอาเงินมาวางประจำเช่าไว้คนละ ๑ องค์  ส่วนนายเงื่อนนั้นเฉยอยู่ กำนันเชื้อต้องบอกว่ารีบเช่าไว้นะ เดี๋ยวจะหมด  นายเงื่อนว่า ไม่ค่อยสนใจไม่เคยแขวนพระเครื่อง  บุหรงว่า เอาไว้เป็นที่ระลึกเถิด ในฐานะที่พวกเราเป็นกรรมการ นั่นแหละนายเงื่อนจึงขอเช่าไว้องค์หนึ่ง  บ่าย ๓ โมงวันนั้นเอง พระสมเด็จ ๓๙๗ องค์ก็หมดเกลี้ยงไม่มีเหลือเลยแม้แต่องค์เดียว  เพราะทุกคนทราบดีว่าพระสมเด็จของกรุเจดีย์นี้ นักเลงพระเครื่องเรียกว่าสมเด็จทรงนิยม มีราคาสูงถึง ๑๐,๐๐๐ บาท ถึง ๑๐๐,๐๐๐ บาททีเดียว  แม้กระทั่งขวดโหลก็มีนักซื้อของเก่ามาขอซื้อไปในราคา ๕๐๐ บาท  บางคนมีศรัทธามากมอบเงินไว้ให้ ๑,๕๐๐ บาท ถึง ๒,๐๐๐ บาท ก็มีหลายคน  รวมทั้งหมดจึงได้เงินถึง ๔๕๐,๐๐๐ บาทถ้วน
ส่วนพระมหาสว่าง เจ้าอาวาสวัดโพธิขวางนั้น ได้ส่งคนมาสืบข่าวอยู่ตลอดวัน  เมื่อทราบแน่นอนว่าได้เงินค่าบูชาพระเครื่องถึง ๔๕๐,๐๐๐ บาท ก็ดำเนินการทันที  เขียนหนังสือยื่นคำร้องต่อผู้ว่าราชการจังหวัด กล่าวโทษว่าศึกษาธิการอำเภอร่วมมือกับกำนัน เอาพระสมเด็จมาจำหน่ายได้เงิน ๔๕๐,๐๐๐ บาท ยังไม่ได้ส่งมอบเงินให้ทางวัด ขอให้จัดการส่งมอบเงินให้แก่ทางวัดด้วย  เคราะห์ดีที่บุหรงเป็นคนรอบคอบ ได้เรียนหารือต่อเจ้าเมืองและนายอำเภอไว้ก่อนแล้ว รวมทั้งศึกษาธิการจังหวัดด้วย  ผู้บังคับบัญชาทั้ง ๓ คนเป็นคนนิยมพระเครื่อง จึงให้เงินมาเช่าพระเครื่องไว้คนละองค์แล้ว จึงไม่เกิดเรื่องราวอะไร  จึงได้ชี้แจงเจ้าอาวาสไปว่า เงินจำนวนนี้ฝากธนาคารไว้ถูกต้องแล้ว เตรียมไว้เป็นทุนสร้างโบสถ์ตามความประสงค์ของท่านพระครูญาณวิสุทธิ์ เจ้าอาวาสกิตติมศักดิ์  เมื่อสร้างโบสถ์ ทางวัดก็มาขอเบิกเงินไปใช้จ่ายได้ โดยให้มีหลักฐานในการใช้จ่ายให้ถูกต้อง
แต่พระมหาสว่างไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ได้เรียกประชุมกรรมการพัฒนาวัดอีกครั้งหนึ่ง นับเป็นครั้งที่ ๓
ที่ประชุมวันนั้น มีผู้มาประชุมเพียง ๕๒ คนเท่านั้น
พระมหาสว่าง เจ้าอาวาสหนุ่ม ได้ชี้แจงในที่ประชุมใจความสำคัญว่า  บัดนี้คณะกรรมการเก็บรักษาพระสมเด็จได้จำหน่ายพระหมดแล้ว ได้เงิน ๔๕๐,๐๐๐ บาท  ฝากธนาคารพาณิชย์ไว้ จะเอาไว้เป็นทุนในการสร้างโบสถ์  แต่ว่าค่าสร้างโบสถ์นั้นก็ต้องใช้เงินนับล้าน ยังเป็นเรื่องห่างไกล ต้องคิดกันอีกหลายปี  ขณะนี้ก็ยังไม่อยู่ในความดำริที่จะสร้างโบสถ์  ขณะนี้ทางวัดมีความจำเป็นรีบด่วนอยู่ คือกุฏิของวัดนี้ก็เป็นเรือนไม้แบบโบราณ ชำรุดทรุดโทรมทุกหลัง  วัดเรายังมีสภาพเป็นวัดโบราณบ้านนอกอยู่ ยังไม่มีกุฏิสมัยใหม่ให้เป็นที่เชิดหน้าชูตาเลย  ฉันจึงคิดจะสร้างกุฏิเจ้าอาวาสขึ้นใหม่สักหลังหนึ่ง เป็นตึกสองชั้น ชั้นล่างเป็นที่เจ้าอาวาสอยู่ เป็นที่รับแขกด้วย ชั้นบนเป็นที่รับรองแขกพระผู้ใหญ่มาพัก จะได้สะอาดโอ่โถง พระผู้ใหญ่มาจะได้มีที่พักสบาย ทางวัดเราก็จะได้เป็นที่รู้จักของพระผู้ใหญ่ไปมา เป็นที่เชิดหน้าชูตาของวัดเรา  ค่าก่อสร้างกะประมาณว่าจะต้องใช้เงินสัก ๕๐๐,๐๐๐ บาท  เวลานี้ทางวัดก็ไม่มีเงิน จะเรี่ยไรบอกบุญชาวบ้านก็ไม่สมควร  ฉันเห็นว่าควรจะเบิกเงินที่ฝากธนาคารไว้ ๔๕๐,๐๐๐ บาทเอามาใช้จ่าย จะเห็นเป็นอย่างไรก็ขอให้เห็นความจำเป็นเฉพาะหน้าของทางวัดด้วย
ที่ประชุมนั้นมีกำนันเชื้อนั่งอยู่ด้วย รวมทั้งนายเงื่อนซึ่งไม่ได้รับเชิญ แต่รู้ข่าวก็พาพรรคพวกมาหลายคน
“ผมเองก็เห็นว่ามีความจำเป็น เพราะเห็นอยู่แล้วว่า วัดเรามีกุฏิโบราณ ไม่ทันสมัยเลย” กำนันเชื้อสนับสนุน
“แต่ผมเห็นว่ายังไม่จำเป็น” นายเงื่อนลุกขึ้นยืนคัดค้านทันควัน  เมื่อที่ประชุมนั่งเงียบ นายเงื่อนก็กล่าวต่อไปอย่างฉะฉาน “วัดเราเป็นวัดบ้านนอก จะมีพระผู้ใหญ่ที่ไหนไปมา จนถึงต้องสร้างตึกไว้รับรอง ก็คงเป็นตึกเจ้าอาวาสเท่านั้น  กุฏิเจ้าอาวาสก็เป็นเรือนฝากระดานยอดแหลมกว้างถึง ๕ ห้อง พอจะปรับปรุงให้สะอาดโอ่โถงได้ดี พอสมกับฐานะของวัด ของสภาพชาวบ้าน  ขณะนี้ชาวบ้านตำบลเราก็ไม่ใช่จะมั่งมีศรีสุข เรือนฝากระดานยอดแหลมมีนับหลังคาได้  ถึงบ้านเกิดของท่านเองก็เป็นเรือนฝาไม้หลังคามุงจาก ถึงไม่ยากจนก็ไม่ใช่จะมั่งมีศรีสุข  ถ้าท่านมหาสว่างเป็นลูกคนมี ก็คงจะส่งเสียเล่าเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว นี่เพราะความจนจึงเรียนจบแค่ ป.๔ แล้วเอาดีทางพระจนได้มหาเปรียญ กลับมาเป็นสมภารวัดบ้านเกิดของตัวเอง ทำไมจะต้องมาคิดสร้างตึกอยู่ให้มันโอ่โถงเกินกว่าสภาพของชาวบ้าน  ชาวบ้านยังอยู่กระท่อมขัดแตะ มุงจากอยู่ทั่วไป วัดจะมาสร้างตึกอยู่ให้โอ่โถงเกินฐานะชาวบ้าน มันจะไม่เหมาะ  จะกลายเป็นว่าพระอยู่ตึก ชาวบ้านอยู่กระท่อม มันจะได้หน้าตาโอ่อ่าอย่างไร  เศรษฐกิจของชาวบ้านยังยากจนอยู่เช่นนี้ จะไปเอาอย่างวัดหลวงในกรุงเทพฯ ได้ยังไง  วัดราษฎร์ก็เป็นวัดของประชาชน เพราะประชาชนออกเงินบำรุงวัด จะมาสร้างวัดราษฎร์ให้มันเกินฐานะของชาวบ้าน ผมไม่เห็นด้วย  ถ้าชาวบ้านร่ำรวย คิดจะสร้างตึกให้สมภารอยู่ ผมก็ไม่ว่า  แต่ถ้าชาวบ้านยังอยู่กระท่อมมุงจาก สมภารจะอยู่ตึก ผมว่ามันไม่เหมาะสม  ชาวบ้านเขาทำกินกันตัวโก่ง พระนั่งนอนอยู่เฉยๆ  ชาวบ้านอยู่กระท่อม สมภารอยู่ตึก มันดูไม่คู่ควรกัน  ผมขอคัดค้านเต็มที่”
“พี่เงื่อนพูดถูก ผมไม่เห็นด้วยเหมือนกัน” นายผันส่งเสริมเป็นลูกคู่
“ผมก็ไม่เห็นด้วย” นายเขียนสนับสนุนลูกพี่
“สร้างตึกกุฏิเจ้าอาวาส ผมไม่เห็นด้วย ผมขอคัดค้าน  ถ้าสร้างโบสถ์ผมเห็นด้วย” นายชิดสนับสนุน
สมภารหนุ่มนั่งหน้าเสีย
“กำนันเชื้อที่สนับสนุนให้สร้างตึกเจ้าอาวาสน่ะ พูดออกมาก็เห็นลิ้นไก่ ก็น้องเมียเป็นช่างรับเหมาอยู่นี่” นายฉุย พูดตรงเผง
“ถ้าไม่ให้สร้างตึก ทางวัดก็มีโครงการอยู่อีกโครงการหนึ่ง  จะสร้างเขื่อนหน้าวัด เป็นเขื่อนคอนกรีตกันตลิ่งพัง ยาว ๒๕๐ เมตร เป็นเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท” สมภารหนุ่มเสนอต่อไป
“ผมขอคัดค้านอีกหนหนึ่ง” นายเงื่อนลุกขึ้นพูดอีก “เขื่อนหน้าวัดนี้ก็ไม่มีความจำเป็นอะไร  วัดเราเป็นหัวแหลม ดินกำลังงอกออกไปทุกทีๆ”
“จะสร้างให้สวยงาม เปิดหน้าวัดให้มีสง่า คนผ่านไปมามองเห็นวัดของเรา  วัดของเราจะได้เปิดเผย เหมือนวัดอื่นๆ ในแม่น้ำนี้ เขาทำเขื่อนกันโดยมาก” พระมหาสว่างชี้แจง
“วัดที่ท่านมหาว่านั้นเขาหันหน้าลงแม่น้ำ แต่วัดของเรานี้ต่อไปจะหันหน้ากลับไปทางหลังวัด  หลวงพ่อท่านพูดว่าภายใน ๓ ปี จะมีถนนตัดผ่านหลังวัด วัดเราจะต้องหันหน้าออกถนนหลังวัด ไม่เชื่อไปถามหลวงพ่อดูก็ได้”
“ใช่ หลวงพ่อท่านพูดกับใครๆ ไว้หลายคน ว่าวัดเราจะหันหน้าขึ้นเหนือ จะมีถนนตัดผ่านมา มีรถราแล่นผ่าน” นายเขียนลุกขึ้นสนับสนุน
“จะรู้ล่วงหน้าได้ยังไง ใครรับรอง” พระมหาสว่างพูดด้วยความโมโห “พูดอวดอุตริมนุสธรรม ปาราชิกเชียวนะ!
“ท่านมหาว่าหลวงพ่อปาราชิกน่ะ ระวังจะเจ็บตัวก็แล้วกัน  ไม่รู้จักหลวงพ่อเพ็ง”
“ถึงอย่างไรก็ต้องคอยดู ถ้าหลวงพ่อไม่รู้จริงท่านไม่พูดหรอก” นายเขียนลุกขึ้นพูดขึงขังอย่างมั่นใจ
“ถึงอย่างไรก็เบิกเอามาใช้อย่างอื่นไม่ได้ เพราะกรรมการฝากไว้ในนามของทุนสร้างโบสถ์  ต้องเอามาสร้างโบสถ์ เอามาทำอย่างอื่นไม่ได้” นายเงื่อนยืนยัน
ดูเหมือนจะหมดปัญหาพูดกันต่อไป ท่านมหาสว่างลุกจากเก้าอี้ลงศาลาไปโดยไม่บอกปิดประชุม  คนอื่นๆ ลุกขึ้น ทยอยกันลงจากศาลากลับบ้าน

ความคิดของพระมหาสว่าง โอภาโส เจ้าอาวาสหนุ่ม ที่จะพัฒนาวัด  จึงเหมือนดังพายเรืออยู่ในอ่าง ไม่มีทางออกได้เลย ต้องพ่ายแพ้แก่อุปสรรคขวากหนามทุกย่างก้าวเดิน




วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2558

ตอน ๔ ...พญามารมาผจญ


โพธิขวาง

๔. พญามารมาผจญ


บุหรง สุนทรบุรี ได้รับลิขิตฉบับหนึ่งจากพระครูญาณวิสุทธิ์ เจ้าอาวาสกิตติมศักดิ์วัดโพธิขวาง ให้ไปหาสักหน่อย ว่ามีธุระสำคัญจะหารือ  บุหรง ศึกษาธิการอำเภอ จึงเดินทางไปยังวัดโพธิขวางบ่ายวันนั้น พร้อมด้วยเสมียนติดตามอีกคนหนึ่ง  เมื่อไปถึงท่านพระครูญาณวิสุทธิ์ก็เรียกเข้าไปพบในห้อง พูดกันสองต่อสอง ไม่มีใครได้ยิน
“ฉันมีธุระสำคัญจะขอพูดด้วย ขอให้ถือเป็นความลับนะจ๊ะ” ท่านพระครูเอ่ยขึ้น
“ผมรับรอง ขอสาบานต่อหน้าพระ ว่าจะรักษาความลับไว้”
“คือว่ายังงี้จ้ะ  ในคอระฆังเจดีย์ใหญ่หน้าโบสถ์นั้นน่ะ มีพระสมเด็จอยู่ในขวดโหลใหญ่จำนวนหนึ่ง เจ้าของท่านมาขอให้ฉันเอาออกมาจำหน่ายให้แก่ผู้ศรัทธาเลื่อมใส เอาเงินมาสมทบทุนสร้างโบสถ์ต่อไป”
“มีมากไหมหลวงพ่อ?”
“ฉันก็ไม่ทราบจำนวน”
“ใครเอามาบรรจุไว้ครับ?”
“ฉันก็ไม่ทราบเหมือนกัน”
“แล้วหลวงพ่อทราบได้อย่างไรว่ามีอยู่”
“เจ้าของท่านบอกจ้ะ”
“เจ้าของท่านคือใครครับ?”
“สมเด็จพระพุฒาจารย์โต วัดระฆังจ้ะ”
“เอ๊ะ ก็สมเด็จท่านมรณภาพไปนานแล้ว”
“ท่านมาปรากฏตัวให้เห็นจ้ะ”
“ในฝันหรือครับ”
“ในฌานจ้ะ ในจตุตถฌาน”
“จตุตถฌาน?”
“จ้ะ ฌานมี ๕ ฌานนะจ๊ะ  ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ปัญจมฌาน” หลวงพ่อพูดช้าๆ “ปฐมฌาน คือฌานชั้นต้น ประกอบด้วย วิตก-ตรึก วิจาร-ตรอง ปีติ-อิ่มใจ สุข-สุขใจ เอกัคคตา-นิ่งเป็นหนึ่งไม่มีสอง”
“หลวงพ่อเข้าฌานแล้วเห็นได้?”
“เข้าฌาน ถึงจตุตถฌาน  สมเด็จท่านปรากฏกายให้เห็น สั่งให้ฉันเอาพระสมเด็จมาจำหน่ายแก่ผู้ศรัทธา เอาเงินไว้สร้างโบสถ์  ท่านปรารถนาจะบำเพ็ญบุญ”
“หลวงพ่อทราบได้อย่างไรว่าเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์?”
“ฉันทราบในขณะท่านมาปรากฏตัวนั่นแหละจ้ะ”
“ท่านบอกชื่อท่านหรือครับ”
“ท่านไม่ได้บอก แต่ทราบได้ในขณะที่ฉันเห็นนั่นแหละ”
“ท่านรูปร่างเป็นอย่างไรครับ?”
“เป็นพระสงฆ์ชราภาพแล้ว ห่มจีวรสีกรัก  มายืนอยู่ตรงหน้า สั่งให้ฉันไปเอาพระสมเด็จในคอระฆังเจดีย์หน้าโบสถ์มาจัดการจำหน่ายแก่ผู้ศรัทธา เอาเงินมาสร้างโบสถ์”
“หลวงพ่อแน่ใจหรือว่ามีพระสมเด็จอยู่จริง?”
“มีจ้ะ มีแน่จ้ะ”
“หลวงพ่อจะให้ผมทำยังไง?”
“ฉันถามท่านว่า จะให้ผมทำอย่างไร  ท่านก็ตอบว่า แล้วท่านพระครูก็นึกออกเองแหละจ้ะ”
“แล้วหลวงพ่อนึกว่าจะทำยังไง?”
“ฉันก็นึกเห็นหน้าคนอยู่ ๓ คน  คือคุณธรรมการคนหนึ่ง กำนันเชื้อคนหนึ่ง นายเงื่อนคนหนึ่ง จะเป็นผู้จัดการแทนฉันให้เรียบร้อยตามความปรารถนาของสมเด็จท่านได้”
“หลวงพ่อจะให้จัดการอย่างไรต่อไปครับ?”
“พรุ่งนี้ตอนสายๆ ฉันจะนัดมาพร้อมกันทั้ง ๓ คน ให้ปรึกษาหารือกันจัดการเรื่องนี้  ขอให้คุณธรรมการมาที่วัดนี้อีกสักหนหนึ่ง”
“แล้วท่านพระมหาสว่าง เจ้าอาวาสจะว่าอย่างไรครับ?”
“ฉันเห็นว่าจะทำให้เกิดความยุ่งยาก ขัดขวางความประสงค์ของสมเด็จท่าน  จะเอาเงินไปใช้จ่ายผิดความปรารถนาของท่านเจ้าพระคุณสมเด็จ”
“นายเงื่อนเป็นใครครับ?”
“นายเงื่อนเป็นคนตำบลนี้ เป็นคนตรง พูดจาโผงผาง ไม่ยอมใคร  เขาไม่เชื่อหรอกเรื่องพระเครื่องราง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เขาจะได้เป็นปากเสียงจัดการให้ตรงไปตรงมา  อย่าพูดให้เขาฟังว่าฉันรู้ได้อย่างไร ฉันจะบอกว่าฉันฝันเห็น  ที่จริงก็เหมือนฝันน่ะแหละจ้ะ”
“กำนันเชื้อเป็นคนอย่างไรครับ?”
“กำนันเชื้อเป็นคนที่เข้าทางฝ่ายสมภารใหม่ได้ จะได้เป็นปากเสียงแทนทางฝ่ายสมภาร  เป็นคนรู้ระเบียบงานอยู่บ้างพอจะอาศัยได้”
“มีกรรมการหลายๆ คน ไม่ดีกว่าหรือครับ?”
“ไม่ดีหรอกจ้ะ จะเกิดการรวนเรยุ่งยากทีหลัง”
“มีพระสมเด็จแน่นะครับ?”
“มีซิจ๊ะ”
“พระสมเด็จแท้นะครับ?”
“แท้ซิจ๊ะ”
“ผมยังไม่เคยมีพระสมเด็จแท้สักองค์ คราวนี้คงจะได้ไว้บูชา”
หลวงพ่อควักย่าม หยิบเอาพระสมเด็จวัดระฆังขึ้นมาให้บุหรงดูหนึ่งองค์ ใส่ตลับไว้ มีสำลีรอง ดูท่านทะนุถนอมมาก
“พระสมเด็จต้องพิมพ์นี้ เนื้ออย่างนี้” พลางส่งให้บุหรงชม พระนั้นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เนื้อสีขาวอมเหลือง งดงามมาก
“หลวงพ่อได้มาอย่างไรครับ?”
“สมเด็จท่านปรากฏตัวให้เห็น อนุญาตให้มีอยู่ที่วัดนี้เอง กองรวมอยู่ในพานหน้าพระพุทธรูป”
บุหรงกลับมาวันนั้น ตกกลางคืนก็นอนไม่ค่อยหลับ นึกถึงแต่เรื่องพระสมเด็จว่าจะมีอยู่จริงหรือไม่ เป็นพระสมเด็จแท้หรือว่าใครทำปลอมขึ้นใหม่อย่างไร  บุหรงไม่ได้สวดมนต์ก่อนนอนมานานแล้ว คืนนั้นจึงจุดธูปเทียนบูชาพระ สวดมนต์อธิษฐานว่า ถ้าเป็นพระที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆัง พระภิกษุมีชื่อทำไว้แท้จริงแล้ว จะขอเอามาบูชาสักองค์ จะต้องบริจาคเงินสร้างโบสถ์สักเท่าไรก็ยินดีบริจาค แล้วก็นอนหลับไป
คืนนั้นประมาณตี ๕ บุหรงกำลังเคลิ้มหลับก็ฝันประหลาด  ฝันว่ามีพระภิกษุแก่องค์หนึ่ง ห่มจีวรสีคล้ำ มายืนอยู่ที่หัวเตียงนอน พูดว่า “พระแท้ หายาก”  รู้สึกประหลาดอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง ในฝันนั้นก็นึกได้ว่าพระองค์นั้นคือสมเด็จพระพุฒาจารย์โต วัดระฆัง รู้ได้ด้วยใจของตนในขณะฝันเห็น ทั้งๆ ที่ท่านไม่ได้บอก  บุหรงมั่นใจว่าวันนี้จะได้พบพระเครื่องสมเด็จแน่นอน
บุหรงตรงไปที่ห้องสมุดประชาชน ค้นหนังสือเกี่ยวกับประวัติของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) และพระเครื่องสมเด็จที่ท่านได้สร้างไว้  ได้พบหนังสือที่ “ตรียัมปวาย” เขียนไว้  มีทั้งประวัติ รูปภาพ และรูปพระเครื่องสมเด็จ  บุหรงรู้สึกอัศจรรย์ใจอย่างยิ่งที่รูปภาพสมเด็จในหนังสือนั้น เหมือนอย่างที่เห็นในความฝันไม่มีผิดเพี้ยนเลย
บุหรงนึกถึงมูลเหตุแห่งฝันที่โบราณท่านกล่าวไว้ว่ามี ๔ อย่าง คือ
๑. บุพนิมิต          - เห็นนิมิตล่วงหน้า
๒. จิตนิวรณ์         - จิตมีนิวรณ์พัวพัน
๓. เทพสังหรณ์     - เทวดาเข้ามาบอกข่าว
๔. อุทรวิการ                - ท้องไม่ดี
ใน ๔ ประการนี้ ท่านว่าประการที่ ๑ และที่ ๓ เป็นความฝันที่แม่นยำ  ประการที่ ๑ นั้นเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า ประการที่ ๓ นั้น เทวดาเข้ามาสำแดงนิมิตสังหรณ์ใจในเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น  บุหรงเข้าใจว่าจะเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งในสองประการนี้ บุหรงได้นำหนังสือเล่มนั้นไปวัดโพธิขวางด้วย
เมื่อไปถึงที่วัด ก็แลเห็นกำนันเชื้อ และนายเงื่อน มานั่งคอยอยู่ก่อนแล้วที่กุฏิหลวงพ่อ  เมื่อได้กราบนมัสการและทักทายกันตามธรรมเนียมแล้ว หลวงพ่อก็เอ่ยขึ้น
“ฉันนิมิตเห็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆัง ท่านมาบอกให้ไปเอาพระสมเด็จที่บรรจุไว้บนคอระฆังที่เจดีย์องค์ใหญ่หน้าโบสถ์  เอามาจำหน่ายจ่ายแจกแก่ผู้ศรัทธาเอาไปสักการบูชา เพื่อจะได้เอาเงินมาเตรียมไว้สำหรับสร้างโบสถ์ใหม่  ไม่ให้เอาไปใช้ในกิจการอย่างอื่นเป็นอันขาด  ในนิมิตนั้นฉันก็นึกเห็นหน้าของท่านทั้ง ๓ คนนี้ คือคุณธรรมการอำเภอ ท่านกำนันเชื้อ แล้วก็นายเงื่อน  ว่าเป็นผู้ที่ซื่อตรง มีสัตย์สุจริต ยุติธรรม  ที่จะเป็นผู้จัดการให้เป็นไปตามความประสงค์ของเจ้าประคุณสมเด็จท่านได้  ฉันจึงได้เชื้อเชิญมาบอกเล่าให้ทราบ สุดแต่ว่าทั้งสามท่านจะปรึกษาหารือกันทำการอย่างไร  ฉันขอมอบภาระให้จัดการให้เป็นไปอย่างสุจริตยุติธรรม”
“หลวงพ่อฝันเห็นใช่ไหม?” นายเงื่อนถาม
“ก็ยังงั้นแหละจ้ะ”
“หลวงพ่อแน่ใจหรือว่าจะจริง?”
“เดี๋ยวก็ค่อยไปดูเอาซีจ๊ะ”
“หลวงพ่อเอาไปบรรจุไว้ตั้งแต่เมื่อไร?”
“ฉันไม่ได้บรรจุไว้หรอกจ้ะ”
“ถ้างั้นทำไมหลวงพ่อทราบ ทำไมถึงแน่ใจว่ามีพระสมเด็จอยู่?” นายเงื่อนตั้งกระทู้ถามหลวงพ่อ “ไม่ต้องรื้อเจดีย์กันหรือ ถ้ารื้อไม่มีพระแล้วใครจะรับผิดชอบ?”
“ไม่ต้องรื้อหรอกจ้ะ ขึ้นไปถึงคอระฆังก็มีช่องอยู่ เปิดแผ่นอิฐออกก็เอามือล้วงลงไปเอาขวดโหลขึ้นมาเท่านั้น”
“แหม หลวงพ่อพูด ยังกะเอาขึ้นไปบรรจุไว้เอง” นายเงื่อนตั้งข้อสงสัย
“ฉันไม่เคยขึ้นไปหรอกจ้ะ ฉันกลัวตกลงมา”
กำนันเชื้อออกความเห็นว่า ควรจะไปบอกสมภารให้รับรู้ไว้ด้วย เพราะเป็นทรัพย์สินของวัด เดี๋ยวจะมีปัญหาขึ้นภายหลัง
แต่บุหรง สุนทรบุรี บอกว่า  ถ้าเป็นของเก่าขนาด ๑๐๐ ปี ก็เป็นโบราณวัตถุ เป็นสมบัติของแผ่นดิน ทางราชการมีหน้าที่ดูแลรักษา ไม่ใช่ทรัพย์สินของวัด  ไปนมัสการให้ท่านสมภารมารับทราบด้วยก็ได้  จึงให้คนไปตามมาพร้อมกัน แล้วก็พากันไปที่เจดีย์หน้าโบสถ์ ๔ คนด้วยกัน  หลวงพ่อเพ็งไม่ไปด้วย ว่าเอามาดูกันที่กุฏินี่ก็แล้วกัน
เมื่อไปถึงหน้าอุโบสถ ก็เห็นเจดีย์ใหญ่ สูงตั้งแต่พื้นดินถึงยอดประมาณ ๖ วา ถึงคอระฆังประมาณ ๕ วา  นายเงื่อนเป็นผู้รับอาสาปีนขึ้นไปดู  แต่เจดีย์ไม่มีบันไดสำหรับขึ้นไป จึงต้องค่อยๆ ปีนขึ้นไปตามปล้องเจดีย์  แต่พอนายเงื่อนปีนขึ้นไปได้เกือบถึงคอระฆังเท่านั้นก็ลื่นไถลตกลงมา นอนนิ่งอยู่กับพื้น  บุหรงและกำนันเชื้อตกใจ กำนันเชื้อวิ่งไปดู ประคองให้ลุกขึ้นมา  ก็ปรากฏว่านายเงื่อนมีบาดแผล ปากและคางครูดกับเจดีย์มีบาดแผลเลือดไหล  กำนันเชื้ออุทานว่า
“ท่านว่าแล้ว ข้านึกแล้วไม่มีผิดเลย”
“ทำไมท่านกำนัน?”
“ก็เมื่อตะกี้ ท่านศึกษาไม่ได้ยินหรือ  ที่นายเงื่อนพูดว่า หลวงพ่อพูดเหมือนเคยขึ้นไปบรรจุไว้เอง หลวงพ่อว่าฉันไม่เคยขึ้น ฉันกลัวตกลงมา  แล้วมันตกลงมาเหมือนปากว่าไหมล่ะ ทันตาเห็น ยังกะปากพระร่วง”
ต้องนำนายเงื่อนไปเช็ดเลือดทำบาดแผลกัน ก่อนหาบันไดมาพาดปีนกันใหม่  คราวนี้ท่านมหาสว่างรับอาสาปีนขึ้นไปเอง สักครู่ก็ได้ขวดโหลขนาดใหญ่ เป็นขวดโหลแบบโบราณ เป็นแก้วสีขาวปนน้ำเงินใส มีฝาปิดเรียบร้อย  ค่อยๆ อุ้มประคองถอยหลังลงมาถึงพื้น ครั้นแล้วท่านสมภารหนุ่มก็อุ้มขวดโหลพาเดินดุ่ม ออกจากเจดีย์มุ่งหน้าขึ้นกุฏิ  บุหรงและกำนันเชื้อเดินตามติดมาด้วยความตื่นเต้น เมื่อเห็นสมภารหนุ่มเดินเลี้ยวซ้ายจะไปยังกุฏิของท่าน กำนันก็ร้องขึ้น
“ช้าก่อนท่านมหา ต้องเอาไปถวายหลวงพ่อดูก่อน ท่านเป็นคนฝันเห็น ท่านเป็นคนบอกให้มาเอา”
“ฉันเป็นเจ้าอาวาส ฉันมีสิทธิ  ของนี้อยู่ในวัด เป็นสิทธิของสมภาร” ท่านมหาสว่างโต้แย้งพลางเดินหนี
บุหรงเห็นท่าไม่ดี จึงเดินขวางหน้าสมภารหนุ่ม พูดขึ้นว่า
“ของนี้เป็นโบราณวัตถุ เป็นทรัพย์ของแผ่นดิน ทางราชการต้องเก็บรักษา  ท่านจะเอาไปไม่ได้ครับ ผิดกฎหมาย”
ขณะนั้นนายเงื่อน ก็เดินเข้ามา คว้าขวดโหลในมือเจ้าอาวาสได้ ก็เดินตรงไปยังกุฏิท่านพระครูญาณวิสุทธิ์  พระมหาสว่าง บุหรง และกำนันจึงเดินตามไปติดๆ  นายเงื่อนเอาขวดโหลไปตั้งไว้ตรงหน้าพระครูญาณวิสุทธิ์ ทุกคนนั่งลงพร้อมกัน  นายเงื่อนเปิดฝาขวดโลกออก หยิบเอาวัตถุชิ้นหนึ่งออกมา เป็นกระดาษสมุดข่อยสีดำ เขียนตัวอักษรสีเหลือง ที่เรียกว่าสีรงค์  อ่านได้ความว่า
“พุทธศก ๒๓๙๗
พระอุปัชฌาย์เอี่ยม
ประจุไว้ในพระศาสนา”
บุหรงรีบคว้าเอามาถือไว้ อ่านแล้วอ่านอีกด้วยความสนใจ
นายเงื่อนเอามือล้วงลงไปหยิบพระเครื่องที่บรรจุไว้ขึ้นมา ๓ องค์ ชูให้ดูกัน   กำนันเชื้อคว้าเอาไป ๑ องค์ นายเงื่อนถือไว้ ๑ องค์ พระมหาสว่างคว้าไป ๑ องค์
“ปิดขวดโหลไว้ก่อน ดูกันเพียง ๓ องค์ก่อน” บุหรงร้องขึ้น “ดูให้รู้ว่าเป็นพระอะไร สมัยไหน” พลางก็เอื้อมมือไปขอองค์ที่นายเงื่อนมาพิจารณา
“พระสมเด็จ” บุหรงร้องขึ้น “นี่ดูแบบในตำรานี่เห็นไหม” พลางก็เปิดหนังสือขึ้นชี้ให้ดูรูปภาพในหนังสือ “พระสมเด็จทรงเจดีย์”
“เนื้อก็เก่ามาก พิมพ์ก็ใช่” พระมหาสว่างดูอยู่ครู่หนึ่ง ก็กล่าวรับรอง “ไหนเอาออกมานับดูซิว่ามีกี่องค์”
“เดี๋ยวช้าก่อน เอาผ้ามาปูเข้า แล้วค่อยๆ หยิบออกมานับทีละองค์ เอามาวางเรียงกันเข้า”
กำนันลุกไปคว้าเอาผ้าจีวรของหลวงพ่อที่วางอยู่ใกล้มือมาพับปูวางเข้า  บุหรงคว้าเอาขวดโหลมา ค่อยๆ หยิบพระเอามาวางเรียงเข้าทีละองค์  แต่พระนั้นวางทับถมอยู่นานปีเต็มที บางองค์จึงจับเกาะติดกันแน่น  เมื่อนับรวมทั้งหมดจึงได้จำนวน ๓๙๕ องค์ “ต้องเอารวมไว้ก่อน ใครจะเอาไปไม่ได้”
กำนันเชื้อ ควักกระเป๋าเสื้อเอามาคืนไว้ พระมหาสว่างยังนิ่งเฉยอยู่
“อยู่ที่ท่านมหาอีกองค์หนึ่งใช่ไหมครับ ขอคืนมาก่อน”
พระมหาสว่างนิ่งมองหน้าศึกษาธิการอำเภอ
“อยู่ที่ฉันไม่ไปไหน”
“ไม่ได้ครับ เอาคืนมาก่อน  เพื่อความยุติธรรม ใครยังเอาไปไม่ได้  ผมก็ไม่เอา กำนันก็ไม่เอา”
พระมหาสว่างจึงหยิบพระส่งคืนให้
“รวมพระทั้งหมดในขวดโหล มี ๓๙๗ องค์” บุหรงประกาศ “ในสมุดข่อย บอกไว้ว่าพุทธศก ๒๓๙๗  คงจะมาจากเลขท้าย ๓ ตัวพุทธศักราชนี้เอง  แต่สงสัยว่า พระอุปัชฌาย์เอี่ยมนี่เป็นใคร  ไม่ใช่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต)”
“หลวงพ่อเอี่ยมเป็นสมภารวัดนี้” หลวงพ่อเพ็งพูดขึ้น “เท่าที่ฉันทราบ หลวงพ่อเอี่ยมปกครองวัดอยู่ ๓๕ ปี  หลวงพ่อช่วง ๑๘ ปี  สมภารปลั่งครองอยู่ ๑๖ ปี  หลวงพ่อผ่องปกครองต่อมาอีก ๓๐ ปี  สมภารแจ่มปกครองอยู่ ๓ ปี  แล้วฉันก็เป็นสมภารมาอีก ๓๐ ปีเข้าปีนี้”
“เดี๋ยวๆ คำนวณเวลาดูก่อน ๓๕ ปี ๑๘ ปี ๑๖ ปี ๓๐ ปี ๓ ปี ๓๐ ปี  รวมกันได้ ๑๓๒ ปี” บุหรงพูดพลางค้นประวัติของสมเด็จพระพุฒาจารย์โต “สมเด็จท่านสิ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๕ นับถึง พ.ศ. ๒๕๑๙ นี่ได้เท่าไร”
“๑๐๔ ปี” พระมหาสว่างตอบ
“บรรจุ พ.ศ. ๒๓๙๗ ถึงปีนี้ได้เท่าไร?”
“๑๓๒ ปี” พระมหาสว่างตอบ
“ถ้าอย่างนั้นก็ถูกต้อง  หลวงพ่อเอี่ยม ต้องเป็นผู้เอามาบรรจุไว้เมื่อท่านเป็นสมภารวัดนี้”
“หลวงพ่อเอี่ยม เอามาจากไหน?” บุหรงพูดขึ้น “เป็นพระมาจากไหน หลวงพ่อทราบไหมครับ?”
“ฉันทราบว่า เป็นพระลูกศิษย์สมเด็จ มาจากวัดระฆัง ธนบุรี  มาเป็นเจ้าอาวาสวัดนี้”
“เห็นจะไม่ผิดหรอก เป็นพระสมเด็จแน่”
“หลวงพ่อเอี่ยม อาจทำขึ้นเองก็ได้” นายเงื่อนพูด
“ถ้าทำเอง ก็ต้องทำมากกว่านี้ ต้องบรรจุไว้มากกว่านี้  เช่น ๒,๓๙๗ องค์ เท่าจำนวน พ.ศ. ที่บรรจุ” บุหรงแย้ง
“ท่านอาจจะแจกไปไม่หมด บรรจุเท่าที่เหลือ” นายเงื่อนให้เหตุผลคัดค้าน
“ถ้าอย่างนั้นต้องพิสูจน์เนื้อและพิมพ์” บุหรงพูด “หลวงพ่อ ผมขอดูพระสมเด็จของหลวงพ่อมาเปรียบดูหน่อย” หลวงพ่อลุกขึ้นไปหยิบเอาย่ามมาล้วงเอาตลับพระสมเด็จส่งให้
“อ๋อ หลวงพ่อเป็นพระสงฆ์ ยังพกพระสมเด็จ?” นายเงื่อนพูดขึ้น
“จ้ะ ฉันเคารพท่านมาก ปฏิปทาของท่านเป็นพระอริยสงฆ์องค์หนึ่ง น่าเคารพกราบไหว้มาก” หลวงพ่อตอบ “การบวชเป็นพระนี่นะจ๊ะ ก็ต้องมีที่พึ่งที่ระลึก  คือพระบรมศาสดา ๑ พระธรรม ๑ แล้วก็พระอริยสงฆ์ ๑  ต้องนับถือพระรัตนตรัย”
บุหรงรับเอาพระสมเด็จจากพระครูญาณวิสุทธิ์ มาส่องกล้องดู แล้วก็เอาพระสมเด็จจากที่กองอยู่ตรงหน้ามาส่องดูอย่างพินิจพิเคราะห์  ก็บอกว่าเป็นพระพิมพ์เนื้อเดียวกัน เนื้อเดียวกันไม่มีผิด “เป็นวัตถุหาค่ามิได้” บุหรงพูดขึ้น
“แล้วนี่จะจัดการอย่างไรต่อไป?” พระมหาสว่างพูดขึ้น
“ขอกระดาษฟุลสแก๊ปผมสักแผ่น” บุหรงพูด  เมื่อกำนันไปหยิบมาให้แล้ว บุหรงก็ลงมือเขียน

เขียนที่วัดโพธิขวาง
วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๐
บันทึกนี้ทำไว้เพื่อแสดงว่า วันนี้เวลา ๐๙.๐๐ น.  นายบุหรง สุนทรบุรี ศึกษาธิการอำเภอ  นายเชื้อ ชาติสีแดง กำนัน  นายเงื่อน สุขสันโดษ ราษฎร  ได้พร้อมกันมาเปิดกรุเจดีย์เก่าวัดโพธิขวาง  ซึ่งพระครูญาณวิสุทธิ์ (เพ็ง) เจ้าอาวาสกิตติมศักดิ์ เป็นผู้แจ้งว่ามีพระเครื่องพิมพ์สมเด็จจำนวนหนึ่งบรรจุอยู่  โดยพระครูญาณวิสุทธิ์นิมิตว่า เจ้าของแต่โบราณบอกให้นำมาจำหน่ายจ่ายแจกแก่ผู้ศรัทธาเลื่อมใสนำเอาไปบูชา และนำเงินที่มีผู้บริจาคทำบุญตอบแทนนั้น เอาไปเพื่อเตรียมการสร้างอุโบสถหลังใหม่ ที่จะทำการก่อสร้างขึ้นในโอกาสหน้า  ไม่ให้นำเอาไปใช้ในกิจการอันซึ่งผิดตามความประสงค์ของเจ้าของ  เมื่อได้ทำการตรวจตรานับจำนวนแล้ว มีพระสมเด็จอยู่ ๓๙๗ องค์  ได้ลงมติว่าให้นำพระจำนวนนี้ไปฝากธนาคารเก็บรักษาไว้ก่อน จนกว่าจะได้ประกาศให้ผู้มีศรัทธานำเงินมาแลกเปลี่ยนเอาไปบูชา  โดยตีค่าบูชาพระองค์ละ .............. บาท เป็นอย่างต่ำ  เมื่อได้เงินค่าบูชาพระมาจำนวนเท่าใด ให้นำเงินนับฝากธนาคารไว้ ในนามของบุคคลทั้งสามที่กล่าวนามแล้วข้างต้น  ถ้ามีเหตุผลทางกฎหมายของบ้านเมือง เห็นว่าวัตถุนี้เป็นโบราณวัตถุ ควรจะตกเป็นของกรมศิลปากรเป็นผู้เก็บรักษาไว้ ก็ให้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป  จึงลงชื่อไว้เป็นสำคัญต่อหน้าพระครูญาณวิสุทธิ์ เจ้าอาวาสกิตติมศักดิ์ และพระมหาสว่าง โอภาโส เจ้าอาวาสวัดโพธิขวาง
ลงชื่อ บุหรง สุนทรบุรี  ศึกษาธิการอำเภอ
ลงชื่อ ......................  กำนัน
ลงชื่อ ......................  กรรมการวัด
ลงชื่อ ......................  เจ้าอาวาสกิตติมศักดิ์
ลงชื่อ ......................  เจ้าอาวาส

เขียนเสร็จแล้วก็อ่านให้ฟัง
“อาตมาไม่ยอม ไม่เห็นด้วย” พระมหาสว่างพูดขึ้นเมื่ออ่านจบ
“อ้าว ทำไมล่ะครับ  ท่านศึกษาทำดีที่สุดแล้วนี่” นายเงื่อนถาม
“พระจำนวนนี้เป็นสมบัติของวัด ได้จากอาณาเขตของวัด  อาตมาเป็นเจ้าอาวาส มีสิทธิเก็บรักษาแต่ผู้เดียว ใครจะเอาไปไม่ได้” พระมหาสว่างประกาศเสียงดัง
“ทรัพย์แผ่นดินครับ  โบราณวัตถุมีอายุเกินกว่า ๑๐๐ ปี เป็นสมบัติของแผ่นดิน ใครไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของ” บุหรงโต้ “ถ้าท่านมหาไม่ยอม ผมก็จะต้องยึดเอาไปเป็นทรัพย์สมบัติของแผ่นดิน  ผมกับกำนันมีอำนาจปฏิบัติตามกฎหมาย”
“ขืนเอาไปอาตมาจะฟ้องฐานยักยอกทรัพย์ของวัด”
“ครับ ท่านมหาก็มีสิทธิจะฟ้องร้องได้  แต่ผมก็มีหน้าที่จะต้องนำเอาพระนี้ไปเก็บรักษาไว้ให้ปลอดภัยที่สุด  เมื่อศาลสั่งอย่างไร ผมก็จะปฏิบัติตาม”
“ท่านมหาอย่าวู่วามเลย  เดี๋ยวทางการก็จะยึดเอาเป็นทรัพย์แผ่นดินหมด วัดก็จะขาดประโยชน์ไป  เอาไว้พูดจาปรองดองกันดีกว่า ทางวัดจะได้เงินมาสร้างโบสถ์” กำนันเชื้อพูดเป็นกลาง
“พรุ่งนี้ฉันจะเรียกประชุมกรรมการวัด” พระมหาสว่างพูด
บุหรงส่งกระดาษให้กับกำนันและนายเงื่อนลงชื่อ แล้วส่งให้พระมหาสว่างเซ็น
“ฉันไม่เซ็น ฉันไม่รับทราบ” พระมหาสว่างพูด มีกิริยาขัดเคือง
“นี่ท่านพระครู ก็ยอมเขาใช่ไหม?” พระมหาสว่างถาม มองหน้าหลวงพ่อเพ็ง
“ก็ท่านศึกษาเป็นเจ้าพนักงาน ทำตามกฎหมายบ้านเมือง ก็ยอมแหละครับ” ท่านพระครูตอบอย่างเรียบๆ
พระมหาสว่าง เจ้าอาวาสหนุ่ม ก็ลุกขึ้น
“ก็ให้รู้กันว่า วัดโพธิขวาง มันมีที่ขัดที่ขวาง มีมารมาผจญ” พูดแล้วก็เดินไปกุฏิ