วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2558

ตอน ๒...เจ้าอาวาสกิตติมศักดิ์




โพธิขวาง 

๒. เจ้าอาวาสกิตติมศักดิ์

อยู่ต่อมาไม่ช้า ก็มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแก่วัดโพธิขวาง ความเปลี่ยนแปลงนี้ ก็เป็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตามกาลเวลา ไม่มีใครผู้ใดจะขัดขวางยับยั้งได้ ทางการคณะสงฆ์ได้มีคำสั่งแต่งตั้งพระมหาสว่าง โอภาโส เปรียญ ๖ ประโยค มาเป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิขวาง และแต่งตั้งพระครูญาณวิสุทธิ์ (เพ็ง พุทฺธสโร) เจ้าอาวาสเก่าเป็นเจ้าอาวาสกิตติมศักดิ์ วัดโพธิขวางได้มีการ์ดเชิญข้าราชการ พ่อค้าคหบดีผู้มีเกียรติไปร่วมแสดงมุทิตาจิต มีหมายกำหนดการให้นายอำเภอเป็นผู้ถือตราตั้งเจ้าอาวาสองค์ใหม่ ให้ศึกษาธิการอำเภอเป็นผู้ถือตราตั้งเจ้าอาวาสกิตติมศักดิ์ เข้าขบวนแห่ จากอุโบสถวัดเจ้าคณะจังหวัดโดยขบวนเรือไปยังวัดโพธิขวาง ในวันแห่ใบตราตั้งนั้น มีเรือยนต์ เรือหางยาว มาเข้าขบวนถึง ๑๕-๑๖ ลำ มีแตรวงและกลองยาวบรรเลงเป็นที่ครึกครื้น
บุหรง สุนทรบุรี ศึกษาธิการอำเภอได้ถูกกำหนดให้มีหน้าที่ถือใบตราตั้งเจ้าอาวาสกิตติมศักดิ์ จึงได้ไปร่วมพิธีในวันนั้นด้วย การถือใบตราตั้งซึ่งใส่กรอบกระจกอย่างดี มีขาตั้ง ถือประคองไปตั้งแต่ออกจากโบสถ์วัดเจ้าคณะจังหวัด นั่งถือประคองไปในเรือ เมื่อถึงวัดโพธิขวางก็เดินประทักษิณเวียนรอบอุโบสถวัดโพธิขวางสามรอบ แล้วจึงนำเข้าไปตั้งไว้หน้าพระประธานในอุโบสถ พระสงฆ์เจ้าอาวาสวัดต่างๆ ที่ได้รับนิมนต์มานั่งคอยอยู่แล้ว พร้อมทั้งพระสงฆ์ในวัดโพธิขวางด้วย  เขาจัดที่นั่งพิเศษไว้ ๒ ที่ หันหลังเข้าหันหน้าออกหน้าพระประธาน เห็นพระครูญาณวิสุทธิ์ เจ้าอาวาสองค์เก่านั่งอยู่ทางขวา พระมหาสว่าง โอภาโส เจ้าอาวาสองค์ใหม่ไปนั่งเคียงคู่อยู่ทางซ้าย บุหรงแปลกใจอยู่บ้างที่เขาจัดให้นายอำเภอถือตราตั้งเจ้าอาวาสองค์ใหม่นำหน้า ให้ศึกษาธิการอำเภอถือตราตั้งเจ้าอาวาสกิตติมศักดิ์ตาม  เมื่อได้ทักท้วงขึ้นว่านายอำเภอน่าจะถือตราตั้งพระครูญาณวิสุทธิ์ เจ้าอาวาสองค์เก่า ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสกิตติมศักดิ์นำหน้ามากกว่า ก็ได้รับคำชี้แจงจากพระรูปหนึ่งว่า ตำแหน่งกิตติมศักดิ์ เป็นตำแหน่งลอยๆ เหมือนที่ปรึกษาเจ้าอาวาสเท่านั้น ไม่มีอำนาจบริหารทางคณะสงฆ์ จึงให้เดินตามหลัง ส่วนใบตราตั้งเจ้าอาวาสนั้นสำคัญกว่าจึงให้นายอำเภอถือนำหน้า
ส่วนพระมหาสว่าง โอภาโส เจ้าอาวาสองค์ใหม่นั้น บุหรงพึ่งเห็นเป็นครั้งแรก ยังหนุ่มอยู่ อายุอยู่ในวัยไม่เกิน ๓๐ ปี ผิวคล้ำ ท่าทางคล่องแคล่งประเปรียว เมื่อไปนั่งคู่เคียงกับพระครูญาณวิสุทธิ์ จึงดูแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด พระครูญาณวิสุทธิ์เป็นภิกษุอยู่ในวัยชรา ผิวขาวมีวรรณะผ่องใส สงบเสงี่ยมสำรวมมาก นั่งทอดสายตามองพื้นอยู่เสมอ ไม่มองสบตาใครเลย  บุหรงเข้าไปกราบคารวะท่านด้วยความเคารพนอบน้อม ท่านเพ่งมองหน้าแล้วก็ยิ้มน้อยๆ ทักทายว่า “อ๋อ คุณธรรมการก็มาหรือ?”  แสดงว่าท่านมีความจำดี พบหน้าหนเดียวล่วงมานานวันก็ยังจำได้ดี
พิธีเริ่มด้วยโฆษกของวัดซึ่งเป็นพระภิกษุประกาศให้นายอำเภออ่านตราตั้งเจ้าอาวาสองค์ใหม่ ศึกษาธิการอำเภออ่านตราตั้งเจ้าอาวาสกิตติมศักดิ์ พระสงฆ์ทั้งนั้นสวดชยันโต  ครั้นแล้วเจ้าคณะจังหวัดกล่าวสัมโมทนียกถา  มีใจความสรุปได้ว่า
“ทางการคณะสงฆ์ได้พิจารณาเห็นว่า พระมหาสว่าง โอภาโส เปรียญ ๖ ประโยค ได้เคยดำรงตำแหน่งเลขานุการของเจ้าคณะจังหวัดมาเป็นเวลานาน มีความรู้ความสามารถคล่องแคล่ว รอบรู้ในกิจการคณะสงฆ์เป็นอย่างดี เป็นผู้มีชาติภูมิเดิมอยู่ในตำบลบ้านนี้ มีญาติโยมมาก อาจเป็นกำลังสนับสนุนในการบูรณปฏิสังขรณ์วัดให้พัฒนาการก้าวหน้าเป็นปึกแผ่นต่อไปได้ ทั้งอายุพรรษาก็มากแล้ว ได้บวชมาถึง ๑๑ ปี บัดนี้ก็อายุ ๓๑ ปี สมควรจะเป็นเจ้าอาวาสปกครองคณะสงฆ์ต่อไปได้ จึงได้แต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิขวางต่อไป ขอให้ญาติโยมทั้งหลายร่วมมือร่วมใจสนับสนุนในการบริหารกิจการคณะสงฆ์ของวัดสืบไปภายหน้า  ส่วนพระครูญาณวิสุทธิ์เจ้าอาวาสองค์เก่านั้น ก็ได้เป็นเจ้าอาวาสปกครองวัดนี้มาเป็นเวลาถึง ๓๐ ปีแล้ว ได้บำรุงรักษาวัดไว้ไม่ให้เสื่อมโทรม  แต่บัดนี้มีวัยชราภาพอายุถึง ๘๖ ปีแล้ว สมควรจะได้ปล่อยวางภาระในการบริหารคณะสงฆ์ เพื่อพักผ่อน  ประกอบกับสมัยปัจจุบันนี้โลกเจริญก้าวหน้าพัฒนาไปมากแล้ว จำเป็นจะต้องเร่งรัดพัฒนาวัดให้เจริญก้าวหน้าทันความเจริญของบ้านเมือง  เพราะเป็นยุคสมัยของการเร่งรัดพัฒนาทุกด้าน ทั้งในด้านวัตถุและการศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย มีพระปริยัติธรรมเป็นต้น  จึงจำเป็นจะต้องมีเจ้าอาวาสที่เข้มแข็ง  จึงได้แต่งตั้งเจ้าอาวาสที่อยู่ในวัยหนุ่มแน่น หัวคิดกำลังแล่น มีกำลังกายและสติปัญญาเข้มแข็ง คล่องแคล่วว่องไว มีความกระตือรือร้นที่จะบริหารกิจการคณะสงฆ์ จะได้เป็นหัวหน้า เป็นผู้นำญาติโยมในตำบลนี้ ทั้งในทางปัญญาและการพัฒนาวัดให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป  แต่ทางการคณะสงฆ์ก็มิได้ทอดทิ้งเจ้าอาวาสองค์ก่อน ได้แต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสกิตติมศักดิ์ อยู่ในฐานะที่ปรึกษา แต่ไม่มีอำนาจในการบริหารการคณะสงฆ์ตามกฎหมาย เจ้าอาวาสองค์ใหม่มีอำนาจบริหารการคณะสงฆ์ในวัดนี้แต่เพียงผู้เดียวตามกฎหมายคณะสงฆ์ต่อไปนับตั้งแต่บัดนี้ ขอให้พระเณรและญาติโยมให้ความร่วมมือต่อไป เพื่อประโยชน์แก่กิจการคณะสงฆ์ และวัดโพธิขวางนี้จะได้เจริญรุ่งเรืองสืบไป วัดโพธิขวางจะได้เป็นวัดโพธิเจริญ...”
ครั้นแล้วก็ให้นายอำเภอ เป็นผู้กล่าวคำสัมโมทนียกถาในนามของทางราชการและประชาชน นายอำเภอก็กล่าวสุนทรกถาตามธรรมเนียมสั้นๆ แต่ก็มีข้อความแหลมคมว่า
“ยินดีที่มีเจ้าอาวาสหนุ่มมาบริหารกิจการวัดนี้ให้เจริญต่อไป แต่การบริหารงานทุกอย่างนั้นลำพังคนหนุ่มคนเดียว หรือเจ้าอาวาสหนุ่มองค์เดียวก็คงแบกวัดเก่าไม่ไหว จำเป็นต้องอาศัยคนแก่คนเฒ่าสนับสนุนด้วย ทั้งสติ ทั้งปัญญา กำลังใจ กำลังทรัพย์ และกำลังบริวาร ซึ่งคนแก่มีมากกว่า สมัยนี้เป็นสมัยประชาธิปไตย การบริหารบ้านเมืองหรือกิจการคณะสงฆ์ก็ต้องยึดหลักประชาธิปไตยเหมือนกัน คือการรับฟังเสียงคนส่วนใหญ่  กิจการคณะสงฆ์ดูเหมือนยิ่งต้องอาศัยหลักประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น จึงจะได้รับความร่วมมือร่วมใจจากทุกฝ่าย ซึ่งก็หวังว่าท่านเจ้าอาวาสองค์ใหม่เป็นคนรุ่นใหม่คงจะเข้าใจข้อนี้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว ตลอดจนเจ้าอาวาสองค์เก่าก็มีคนเคารพนับถือมากอยู่แล้ว ถ้าได้อาศัยกำลังสนับสนุนกันแล้ว เชื่อว่าวัดโพธิขวางจะเจริญก้าวหน้าพัฒนาไปไม่เพียงแต่ทันกาลเท่านั้น จะสามารถเป็นดวงปัญญานำโลกให้สว่างไสวด้วย”
ต่อจากนั้นโฆษกก็ประกาศให้เจ้าอาวาสองค์ใหม่กล่าวคำปราศรัยอนุโมทนา ซึ่งท่านกล่าวยืดยาว แต่มีสาระสำคัญว่า
“รู้สึกยินดีที่ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส การที่ได้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิขวาง ก็เหมือนการกลับมาอยู่บ้านเก่า เพราะมีภูมิลำเนาอยู่ตำบลนี้ เคยเรียนหนังสือที่วัดนี้  แต่ว่าแต่เดิมก็อยู่ในฐานะลูกบ้าน ลูกศิษย์ คนอาศัย และเป็นผู้น้อย  บัดนี้จะต้องกลับมาเป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้นำ เป็นผู้ปกครอง จึงรู้สึกว่าแตกต่างกัน  แต่ไม่รู้สึกหนักใจอะไร เพราะได้เคยศึกษามาแล้ว เคยได้พบเห็นแบบอย่างมาแล้ว กิจการทุกอย่างถ้ามีความตั้งใจจริงก็สำเร็จทุกอย่าง ถ้ามีอิทธิบาท ๔ ประการ คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ก็สำเร็จได้  เช่นการเล่าเรียนธรรมบาลี เป็นต้น แรกเรียนก็ว่ายาก แต่พยายามไปก็สำเร็จ  คนหนุ่มๆ นั้นมีสมองมีความคิดที่จะทำงาน แต่โอกาสของคนหนุ่มไม่ค่อยจะเปิดให้ทำ ความคิดก็เป็นหมันเสียหมด ครั้งนี้โอกาสเปิดแล้ว ก็ตั้งใจว่าจะทำจนสุดฝีมือ  ขอให้ญาติโยมทั้งหลายคอยดู ภายใน ๓ ปีนี้ จะพัฒนาวัดโพธิขวางให้เจริญไปอย่างพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ ให้วัดโพธิขวางเป็นวัดโพธิเจริญพัฒนาให้จงได้  ขอแต่ให้ญาติโยมผู้ใจบุญสุนทานให้ความร่วมมือบริจาคทรัพย์มาพัฒนาวัดนี้ให้เจริญ เป็นดวงประทีปอันสว่างประจำตำบลนี้ ญาติโยมทั้งหลายจะได้ภาคภูมิใจว่ามีวัดเจริญรุ่งเรืองอยู่ประจำตำบลของเราต่อไป  ขอขอบใจอนุโมทนาที่ท่านทั้งหลายพากันมาแสดงเมตตาจิตโมทนาในวันนี้  คืนนี้จะมีภาพยนตร์ ๒ จอ มาฉายให้ดูฟรีเป็นการเฉลิมฉลองและเป็นการรื่นเริง เปิดหูเปิดตาให้แก่ญาติโยมได้ชมฟรีด้วย”
“ลำดับต่อไปเป็นการกล่าวปราศรัยของท่านพระครูญาณวิสุทธิ์ เจ้าอาวาสกิตติมศักดิ์” เสียงโฆษกพูด
ท่านพระครูญาณวิสุทธิ์ ซึ่งได้นั่งสงบนิ่งก้มหน้าเป็นเวลานาน จึงได้เงยหน้าขึ้น พูดด้วยเสียงเรียบๆ ช้าๆ  ทุกคนสงบ ตั้งใจฟังวาจาของท่านด้วยความเคารพ  กิตติศัพท์ที่ว่าท่านวาจาสิทธิ์นั้นทำให้ทุกคนตั้งใจเงี่ยหูฟัง
“บรรดาญาติโยมทั้งหลาย  สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสสอนเรื่องไตรลักษณ์ไว้ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตนเราเขา  สิ่งทั้งหลายในโลกนี้ย่อมไม่เที่ยงแท้ ย่อมทนอยู่ไม่ได้ ย่อมไม่ใช่ตัวตนเราเขา จึงไม่ควรที่จะยึดมั่นในสิ่งใด  สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา บัดนี้ท่านทั้งหลายก็เห็นความเปลี่ยนแปลงชัดแจ้งแล้ว ณ ที่วัดโพธิขวางนี้ ได้มีเจ้าอาวาสองค์ใหม่กำลังหนุ่มแน่น เข้มแข็ง ว่องไวทั้งกำลังกายและสติปัญญา ความรู้ความสามารถ มาบริหารการคณะสงฆ์แทนตัวของฉัน  ฉันมีความยินดีอนุโมทนามาก เพราะโบราณท่านกล่าวไว้ว่า ทุกข์พ่อบ้าน ทุกข์สมภารเจ้าวัด ทุกข์พระมหากษัตริย์ สามอย่างนี้เป็นทุกข์มาก  พ่อบ้านทุกข์เพราะครอบครัว ลูกเมียและบริวาร ทรัพย์สมบัติ  สมภารเจ้าวัดก็ทุกข์เพราะต้องปกครองวัด บำรุงรักษาวัด ตลอดจนลูกศิษย์ลูกหา บรรดาญาติโยม  นับว่ามีภาระมาก มีทุกข์ทับถม ผูกมัดอยู่ตลอดเวลา  ทุกข์พระมหากษัตริย์ทุกข์เพราะต้องปกครองอาณาประชาราษฎร์ในพระราชอาณาจักร มีทุกข์มากขึ้นตามลำดับตามหน้าที่อันกว้างใหญ่นั้น  ตัวฉันเอง ก็ไม่ได้มีความมุ่งมาดปรารถนาจะเป็นสมภารเจ้าวัด แต่ก็ต้องมารับหน้าที่อยู่ถึง ๓๐ ปีเต็ม  มีความทุกข์มากอยากจะเปลื้องภาระอันนี้ แต่ก็ไม่มีโอกาส  บัดนี้ฉันก็มีความยินดีที่จะได้เปลื้องภาระนี้ให้แก่ท่านผู้ที่มีความสามารถเหมาะสมต่อไปแล้ว  ตัวของฉันเองนั้นบัดนี้ก็มีวัยชราภาพล่วงเข้ามาถึง ๘๖ ปีแล้ว เปรียบเหมือนเกวียนหรือเรือที่สัมภาระผุพังเต็มทีแล้ว สุดกำลังที่จะซ่อมแซมให้ดีเหมือนแต่ก่อน  ที่จริงฉันก็มีอายุยืนยาวกว่าที่ควรจะมี สมเด็จพระบิดาพระตถาคตของฉันนั้น ท่านก็ยังมีพระชนมายุเพียง ๘๐ ปี ก็เสด็จเข้าสู่พระปรินิพพานอันบรมสุข  ที่จริงพระยามัจจุราชก็ได้มารับฉันตั้งแต่อายุ ๘๐ ปีแล้ว แต่ฉันยังมีภาระผูกพันอยู่ ยังใช้หนี้พระศาสนาไม่หมด ฉันจึงขอผัดเวลาอีก ๗ ปี  บัดนี้ก็เหลือเวลาอีกปีเดียว ที่จะครบกำหนดนัดหมายกับพระยามัจจุราชท่านไว้  ตัวฉันชื่อเพ็ง เพราะว่าฉันเกิดวันเพ็ง เดือนสี่  นี่ก็เหลือเวลาอีก ๑ ปี  พอถึงวันเพ็งเดือนสี่ปีหน้า ฉันก็ต้องขอลาญาติโยมไปตามยถากรรมของฉันแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีเพื่อนสอง  เพราะฉะนั้นบรรดาญาติโยมทั้งหลายจงได้มีใจยินดีอนุโมทนาแก่ฉันที่จะได้เปลื้องภาระหน้าที่สมภารเจ้าวัด เพื่อปฏิบัติสมณธรรมแต่เพียงอย่างเดียว สำหรับจะได้รอวันเวลาที่จะมาถึงในวันเพ็ง เดือนสี่ ปีหน้า ขอให้ญาติโยมทั้งหลายจงบำเพ็ญบุญกุศลต่อไป อย่าได้ประมาทในชีวิตและความเป็นหนุ่มสาวของท่าน”
บรรยากาศในโบสถ์ขณะนั้นเงียบสงัด แทบจะไม่ได้ยินเสียงอื่นใด นอกจากกระแสเสียงของท่านพระครูญาณวิสุทธิ์ที่กล่าวอย่างเจื้อยแจ้ว  เสียงนั้นเป็นเสียงสั่งลา มีน้ำเสียงราบเรียบแจ่มชัด ฟังอ่อนหวานไพเราะจับใจ  และหลายๆ คนก็ใจหายในความหมายในถ้อยคำของท่าน ดูเหมือนจะมีลางสังหรณ์บอกให้รู้ว่า วันเพ็ญเดือนสี่ข้างหน้านี้ ท่านจะดับขันธ์  หลายคนเชื่อว่าท่านได้กำหนดวันตายของท่านไว้แล้ว ที่พูดวันนี้ก็เป็นการสั่งลาญาติโยมเป็นครั้งสุดท้าย  ท่านไม่เคยพูดอย่างนี้มาก่อนเลย  ท่านพูดอะไรมักจะเป็นเช่นนั้น ท่านมีวาจาสิทธิ์ และมีญาณพิเศษ สามารถรู้อะไรได้ล่วงหน้าเสมอ
สำหรับบุหรง สุนทรบุรี นั้นมีความรู้สึกใจหาย เศร้า และวังเวงใจ เหมือนหนึ่งว่าบิดาบังเกิดเกล้าสั่งลาก่อนจะสิ้นลมหายใจ  ถึงแม้ท่านจะบอกว่าเหลืออีก ๑ ปี แต่เวลานั้นช่างสั้นเหลือเกิน  อีกสักกี่เดือนกี่ปี จึงจะพบพระภิกษุทรงคุณทรงธรรมอย่างหลวงพ่อองค์นี้ บุหรงมองดูหน้าคนอื่นก็นั่งเงียบสงบ บรรยากาศซึมเศร้าอยู่ครู่ใหญ่  บางคนก็นั่งน้ำตาไหล บางคนก็เช็ดน้ำตา สั่งน้ำมูก บางคนที่เป็นผู้หญิงถึงแก่ปล่อยโฮออกมา  วันแสดงความยินดีอนุโมทนาต่อเจ้าอาวาสองค์ใหม่ กลายเป็นวันเศร้าซึมอย่างประหลาดที่สุด
ทันใดนั้นโฆษกก็ประกาศให้บรรดาญาติโยมถวายของขวัญของที่ระลึกแด่ท่านเจ้าอาวาสองค์ใหม่  ผู้ที่เตรียมของมาจึงได้นำเข้าไปถวาย  บรรยากาศเศร้าซึมจึงค่อยเปลี่ยนไป
ตกกลางคืน มีภาพยนตร์มาฉายกลางแปลงเป็นการเฉลิมฉลองการแต่งตั้งเจ้าอาวาสองค์ใหม่ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา เพราะเจ้าอาวาสองค์เก่าไม่นิยมให้มีงานวัด ไม่มีมหรสพอะไรมาเล่นที่วัดนี้มาเป็นเวลานานแล้ว  ท่านเคยพูดว่า วัดเป็นที่สงบสงัดสำหรับปฏิบัติสมณธรรมของพระสงฆ์ จึงไม่ควรมีงานวัดและมีมหรสพมาแสดงในวัด  มตินี้คนบางส่วนก็พอใจ แต่มักจะเป็นคนรุ่นเก่าประเภทหัวธัมมะธัมโม คนรุ่นหนุ่มรุ่นสาวไม่ใคร่จะพอใจ  เมื่อมีมหรสพคืนนี้ ผู้คนชาวตำบลนี้จึงพากันมามาก จนผู้คนเต็มลานวัดไปหมด ทั้งพ่อค้าแม่ขายก็มาตั้งร้านขายอาหารเครื่องดื่มกันมาก รวมทั้งสุรา ซึ่งหลวงพ่อองค์เก่าไม่ยอมให้ใครเอามากินมาขายในวัดนานแล้ว
คืนนั้นประมาณเที่ยงคืน ก็มีเหตุการณ์แปลกประหลาดมหัศจรรย์เกิดขึ้นในวัดนี้ ผู้คนจำนวนมากได้แลเห็นและตกตะลึงกันไปทั่ว
มีวัตถุรูปกลมขนาดเท่าผลมะนาว ขาวเป็นสีเงินยวง มีแสงสว่างโชติช่วง  ลอยลิ่วมาจากบริเวณหน้าอุโบสถพุ่งสูงขึ้นไปเหนือยอดไม้ แล้วลอยเป็นแนวโค้งข้ามหมู่กุฎีสงฆ์จากด้านทิศใต้หน้าวัด ไปตกลงตรงต้นหว้าใหญ่บริเวณหลังวัด
“ผีพุ่งใต้...”
“ดาวตก...”
“ไม่ใช่ผีพุ่งใต้ ผีพุ่งใต้ต้องพุ่งไปตรงๆ”
“ไม่ใช่ดาวตก ดาวตกต้องพุ่งลงมาข้างล่าง”
พูดจากันอย่างนี้ ในหมู่ผู้ที่ได้พบเห็น
“พระธาตุปาฏิหาริย์” ผู้ใหญ่พูดกันอย่างนี้
ต่างคนต่างพูดกันไปตามความเห็นของตน เพราะเห็นเป็นเรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์
บ้างก็สงสัยว่าใครทำดอกไม้ไฟประเภทอ้ายตื้อ หลอกคนเล่น  แต่ก็ลงความเห็นกันว่าไม่ใช่ เพราะไม่มีเสียงดัง และดอกไม้ไฟจะไม่มีแสงสว่างโชติช่วงอย่างนี้  และข้อสำคัญดูเหมือนว่าวัตถุที่มีแสงสว่างขาวโชติช่วงนั้นมีชีวิตจิตใจ คือค่อยๆ ลอยสูงขึ้นช้าๆ แล้วค่อยแล่นโค้งเป็นรูปครึ่งวงกลมผ่านวัดจากทิศใต้หน้าวัดไปยังทิศเหนือหลังวัด และหายวับลงที่บริเวณต้นหว้าใหญ่หลังวัดนั้นเอง
รุ่งเช้ามีประสกวัดสี่ห้าคนไปหาหลวงพ่อเพ็งถามถึงเรื่องนี้ หลวงพ่อตอบว่า วัตถุสีสว่างเป็นเงินยวงขนาดเท่ากันนี้ ท่านเคยเห็นครั้งหนึ่งเมื่อมาอยู่วัดนี้ใหม่ๆ วัตถุมีแสงสว่างขนาดเท่าผลมะนาวนั้นลอยขึ้นมาจากบริเวณหน้าอุโบสถ ลอยสูงขึ้นไปประมาณ ๘-๙ วา เหนือยอดมะพร้าวแล้วก็ลอยกลับลงมาที่เดิม  เมื่อคืนนี้ขณะท่านนั่งอยู่ที่กุฏิก็ได้เห็นวัตถุมีแสงสว่างนี้ มีขนาดเท่ากันแต่ลอยข้ามวัดไปยังทิศเหนือ
“วัตถุมีแสงสว่างนี้คืออะไรครับหลวงพ่อ?”
“โบราณท่านเรียกว่าพระธาตุปาฏิหาริย์ เป็นพระบรมสารีริกธาตุของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงปาฏิหาริย์ให้คนเห็นในคราวสำคัญๆ  เช่น เวลาพระเจ้าแผ่นดินเสด็จยกทัพไปรบข้าศึก ถ้ามีพระธาตุเสด็จปาฏิหาริย์เหาะลอยนำไปข้างหน้ากองทัพ เป็นนิมิตจะได้รับชัยชนะแก่ข้าศึก  เพราะท่านถือว่ากองทัพนั้นไปรบเพื่อป้องกันรักษาพระพุทธศาสนา จึงแสดงปาฏิหาริย์ให้ปรากฏ”
“ที่แสดงปาฏิหาริย์ให้หลวงพ่อเห็นครั้งแรกมีนิมิตว่าอย่างไรเล่าครับ?”
“ก็แสดงว่าวัดจะรุ่งเรืองขึ้นแล้วก็เสื่อมโทรมลงตามกาลเวลา แสดงปาฏิหาริย์ให้รู้ว่าวัดนี้มีพระบรมสารีริกธาตุสถิตอยู่”
“แล้วที่เสด็จปาฏิหาริย์เมื่อคืนนี้หมายความว่าอย่างไร?”
“เป็นนิมิตหมายแสดงให้รู้ว่า วัดโพธิขวางนี้ในอนาคตอันใกล้นี้จะหันหน้ากลับจากทิศใต้ หันหน้าวัดไปทางทิศเหนือ
“จะเป็นไปได้ยังไงหลวงพ่อ?”
“เป็นไปได้แน่นอน  ไม่เกิน ๓ ปีนี้ ทางราชการจะตัดถนนใหญ่จากกรุงเทพฯ แล่นผ่านไปข้างหลังวัดนี้ จะมีรถราแล่นผ่านไปมามาก  วัดของเราก็จะหันหน้าออกไปสู่ถนนสายใหม่นี้”
“แหมก็ดีซีครับหลวงพ่อ ผมอยากให้เป็นเหมือนปากหลวงพ่อว่าเร็วๆ”
“จ้ะ คอยดูเถอะจ้ะ”
“หลวงพ่อรู้ได้อย่างไร?” นายเงื่อน ชายหนุ่มวัย ๓๐ ปี ที่นั่งอยู่ด้วยได้ถามขึ้น
“ฉันรู้ เพราะฉันเห็นน่ะซีจ้ะ”
“หลวงพ่อก็มีตาทิพย์น่ะซี” นายเงื่อนพูดมีน้ำเสียงกระด้างแสดงอาการไม่เชื่อถือ
“คอยดูก็แล้วกันจ้ะ” หลวงพ่อยืนยันด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “แต่ฉันเสียดาย ที่ไม่มีโอกาสจะได้เห็นด้วยตาจริงๆ เหมือนคนอื่นเขาหรอกจ้ะ”





(ติดตามอ่านต่อ ตอน ๓)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น