โพธิขวาง
๒. เจ้าอาวาสกิตติมศักดิ์
อยู่ต่อมาไม่ช้า
ก็มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแก่วัดโพธิขวาง ความเปลี่ยนแปลงนี้
ก็เป็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตามกาลเวลา ไม่มีใครผู้ใดจะขัดขวางยับยั้งได้
ทางการคณะสงฆ์ได้มีคำสั่งแต่งตั้งพระมหาสว่าง โอภาโส เปรียญ ๖ ประโยค
มาเป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิขวาง และแต่งตั้งพระครูญาณวิสุทธิ์ (เพ็ง พุทฺธสโร)
เจ้าอาวาสเก่าเป็นเจ้าอาวาสกิตติมศักดิ์ วัดโพธิขวางได้มีการ์ดเชิญข้าราชการ
พ่อค้าคหบดีผู้มีเกียรติไปร่วมแสดงมุทิตาจิต
มีหมายกำหนดการให้นายอำเภอเป็นผู้ถือตราตั้งเจ้าอาวาสองค์ใหม่
ให้ศึกษาธิการอำเภอเป็นผู้ถือตราตั้งเจ้าอาวาสกิตติมศักดิ์ เข้าขบวนแห่
จากอุโบสถวัดเจ้าคณะจังหวัดโดยขบวนเรือไปยังวัดโพธิขวาง ในวันแห่ใบตราตั้งนั้น
มีเรือยนต์ เรือหางยาว มาเข้าขบวนถึง ๑๕-๑๖ ลำ
มีแตรวงและกลองยาวบรรเลงเป็นที่ครึกครื้น
บุหรง
สุนทรบุรี ศึกษาธิการอำเภอได้ถูกกำหนดให้มีหน้าที่ถือใบตราตั้งเจ้าอาวาสกิตติมศักดิ์
จึงได้ไปร่วมพิธีในวันนั้นด้วย การถือใบตราตั้งซึ่งใส่กรอบกระจกอย่างดี มีขาตั้ง
ถือประคองไปตั้งแต่ออกจากโบสถ์วัดเจ้าคณะจังหวัด นั่งถือประคองไปในเรือ
เมื่อถึงวัดโพธิขวางก็เดินประทักษิณเวียนรอบอุโบสถวัดโพธิขวางสามรอบ
แล้วจึงนำเข้าไปตั้งไว้หน้าพระประธานในอุโบสถ พระสงฆ์เจ้าอาวาสวัดต่างๆ
ที่ได้รับนิมนต์มานั่งคอยอยู่แล้ว พร้อมทั้งพระสงฆ์ในวัดโพธิขวางด้วย เขาจัดที่นั่งพิเศษไว้ ๒ ที่
หันหลังเข้าหันหน้าออกหน้าพระประธาน เห็นพระครูญาณวิสุทธิ์ เจ้าอาวาสองค์เก่านั่งอยู่ทางขวา
พระมหาสว่าง โอภาโส เจ้าอาวาสองค์ใหม่ไปนั่งเคียงคู่อยู่ทางซ้าย
บุหรงแปลกใจอยู่บ้างที่เขาจัดให้นายอำเภอถือตราตั้งเจ้าอาวาสองค์ใหม่นำหน้า
ให้ศึกษาธิการอำเภอถือตราตั้งเจ้าอาวาสกิตติมศักดิ์ตาม เมื่อได้ทักท้วงขึ้นว่านายอำเภอน่าจะถือตราตั้งพระครูญาณวิสุทธิ์
เจ้าอาวาสองค์เก่า ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสกิตติมศักดิ์นำหน้ามากกว่า
ก็ได้รับคำชี้แจงจากพระรูปหนึ่งว่า ตำแหน่งกิตติมศักดิ์ เป็นตำแหน่งลอยๆ
เหมือนที่ปรึกษาเจ้าอาวาสเท่านั้น ไม่มีอำนาจบริหารทางคณะสงฆ์ จึงให้เดินตามหลัง
ส่วนใบตราตั้งเจ้าอาวาสนั้นสำคัญกว่าจึงให้นายอำเภอถือนำหน้า
ส่วนพระมหาสว่าง
โอภาโส เจ้าอาวาสองค์ใหม่นั้น บุหรงพึ่งเห็นเป็นครั้งแรก ยังหนุ่มอยู่ อายุอยู่ในวัยไม่เกิน
๓๐ ปี ผิวคล้ำ ท่าทางคล่องแคล่งประเปรียว เมื่อไปนั่งคู่เคียงกับพระครูญาณวิสุทธิ์
จึงดูแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด พระครูญาณวิสุทธิ์เป็นภิกษุอยู่ในวัยชรา
ผิวขาวมีวรรณะผ่องใส สงบเสงี่ยมสำรวมมาก นั่งทอดสายตามองพื้นอยู่เสมอ
ไม่มองสบตาใครเลย บุหรงเข้าไปกราบคารวะท่านด้วยความเคารพนอบน้อม
ท่านเพ่งมองหน้าแล้วก็ยิ้มน้อยๆ ทักทายว่า “อ๋อ คุณธรรมการก็มาหรือ?” แสดงว่าท่านมีความจำดี
พบหน้าหนเดียวล่วงมานานวันก็ยังจำได้ดี
พิธีเริ่มด้วยโฆษกของวัดซึ่งเป็นพระภิกษุประกาศให้นายอำเภออ่านตราตั้งเจ้าอาวาสองค์ใหม่
ศึกษาธิการอำเภออ่านตราตั้งเจ้าอาวาสกิตติมศักดิ์ พระสงฆ์ทั้งนั้นสวดชยันโต ครั้นแล้วเจ้าคณะจังหวัดกล่าวสัมโมทนียกถา มีใจความสรุปได้ว่า
“ทางการคณะสงฆ์ได้พิจารณาเห็นว่า
พระมหาสว่าง โอภาโส เปรียญ ๖ ประโยค
ได้เคยดำรงตำแหน่งเลขานุการของเจ้าคณะจังหวัดมาเป็นเวลานาน
มีความรู้ความสามารถคล่องแคล่ว รอบรู้ในกิจการคณะสงฆ์เป็นอย่างดี
เป็นผู้มีชาติภูมิเดิมอยู่ในตำบลบ้านนี้ มีญาติโยมมาก อาจเป็นกำลังสนับสนุนในการบูรณปฏิสังขรณ์วัดให้พัฒนาการก้าวหน้าเป็นปึกแผ่นต่อไปได้
ทั้งอายุพรรษาก็มากแล้ว ได้บวชมาถึง ๑๑ ปี บัดนี้ก็อายุ ๓๑ ปี
สมควรจะเป็นเจ้าอาวาสปกครองคณะสงฆ์ต่อไปได้
จึงได้แต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิขวางต่อไป
ขอให้ญาติโยมทั้งหลายร่วมมือร่วมใจสนับสนุนในการบริหารกิจการคณะสงฆ์ของวัดสืบไปภายหน้า ส่วนพระครูญาณวิสุทธิ์เจ้าอาวาสองค์เก่านั้น
ก็ได้เป็นเจ้าอาวาสปกครองวัดนี้มาเป็นเวลาถึง ๓๐ ปีแล้ว ได้บำรุงรักษาวัดไว้ไม่ให้เสื่อมโทรม
แต่บัดนี้มีวัยชราภาพอายุถึง ๘๖ ปีแล้ว
สมควรจะได้ปล่อยวางภาระในการบริหารคณะสงฆ์ เพื่อพักผ่อน ประกอบกับสมัยปัจจุบันนี้โลกเจริญก้าวหน้าพัฒนาไปมากแล้ว
จำเป็นจะต้องเร่งรัดพัฒนาวัดให้เจริญก้าวหน้าทันความเจริญของบ้านเมือง เพราะเป็นยุคสมัยของการเร่งรัดพัฒนาทุกด้าน
ทั้งในด้านวัตถุและการศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย มีพระปริยัติธรรมเป็นต้น จึงจำเป็นจะต้องมีเจ้าอาวาสที่เข้มแข็ง จึงได้แต่งตั้งเจ้าอาวาสที่อยู่ในวัยหนุ่มแน่น
หัวคิดกำลังแล่น มีกำลังกายและสติปัญญาเข้มแข็ง คล่องแคล่วว่องไว
มีความกระตือรือร้นที่จะบริหารกิจการคณะสงฆ์ จะได้เป็นหัวหน้า
เป็นผู้นำญาติโยมในตำบลนี้ ทั้งในทางปัญญาและการพัฒนาวัดให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป แต่ทางการคณะสงฆ์ก็มิได้ทอดทิ้งเจ้าอาวาสองค์ก่อน
ได้แต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสกิตติมศักดิ์ อยู่ในฐานะที่ปรึกษา
แต่ไม่มีอำนาจในการบริหารการคณะสงฆ์ตามกฎหมาย
เจ้าอาวาสองค์ใหม่มีอำนาจบริหารการคณะสงฆ์ในวัดนี้แต่เพียงผู้เดียวตามกฎหมายคณะสงฆ์ต่อไปนับตั้งแต่บัดนี้
ขอให้พระเณรและญาติโยมให้ความร่วมมือต่อไป เพื่อประโยชน์แก่กิจการคณะสงฆ์
และวัดโพธิขวางนี้จะได้เจริญรุ่งเรืองสืบไป วัดโพธิขวางจะได้เป็นวัดโพธิเจริญ...”
ครั้นแล้วก็ให้นายอำเภอ
เป็นผู้กล่าวคำสัมโมทนียกถาในนามของทางราชการและประชาชน นายอำเภอก็กล่าวสุนทรกถาตามธรรมเนียมสั้นๆ
แต่ก็มีข้อความแหลมคมว่า
“ยินดีที่มีเจ้าอาวาสหนุ่มมาบริหารกิจการวัดนี้ให้เจริญต่อไป
แต่การบริหารงานทุกอย่างนั้นลำพังคนหนุ่มคนเดียว
หรือเจ้าอาวาสหนุ่มองค์เดียวก็คงแบกวัดเก่าไม่ไหว
จำเป็นต้องอาศัยคนแก่คนเฒ่าสนับสนุนด้วย ทั้งสติ ทั้งปัญญา กำลังใจ
กำลังทรัพย์ และกำลังบริวาร ซึ่งคนแก่มีมากกว่า สมัยนี้เป็นสมัยประชาธิปไตย การบริหารบ้านเมืองหรือกิจการคณะสงฆ์ก็ต้องยึดหลักประชาธิปไตยเหมือนกัน
คือการรับฟังเสียงคนส่วนใหญ่ กิจการคณะสงฆ์ดูเหมือนยิ่งต้องอาศัยหลักประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น
จึงจะได้รับความร่วมมือร่วมใจจากทุกฝ่าย
ซึ่งก็หวังว่าท่านเจ้าอาวาสองค์ใหม่เป็นคนรุ่นใหม่คงจะเข้าใจข้อนี้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว
ตลอดจนเจ้าอาวาสองค์เก่าก็มีคนเคารพนับถือมากอยู่แล้ว
ถ้าได้อาศัยกำลังสนับสนุนกันแล้ว
เชื่อว่าวัดโพธิขวางจะเจริญก้าวหน้าพัฒนาไปไม่เพียงแต่ทันกาลเท่านั้น
จะสามารถเป็นดวงปัญญานำโลกให้สว่างไสวด้วย”
ต่อจากนั้นโฆษกก็ประกาศให้เจ้าอาวาสองค์ใหม่กล่าวคำปราศรัยอนุโมทนา
ซึ่งท่านกล่าวยืดยาว แต่มีสาระสำคัญว่า
“รู้สึกยินดีที่ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส
การที่ได้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิขวาง ก็เหมือนการกลับมาอยู่บ้านเก่า
เพราะมีภูมิลำเนาอยู่ตำบลนี้ เคยเรียนหนังสือที่วัดนี้ แต่ว่าแต่เดิมก็อยู่ในฐานะลูกบ้าน ลูกศิษย์
คนอาศัย และเป็นผู้น้อย บัดนี้จะต้องกลับมาเป็นหัวหน้าครอบครัว
เป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้นำ เป็นผู้ปกครอง จึงรู้สึกว่าแตกต่างกัน แต่ไม่รู้สึกหนักใจอะไร เพราะได้เคยศึกษามาแล้ว
เคยได้พบเห็นแบบอย่างมาแล้ว กิจการทุกอย่างถ้ามีความตั้งใจจริงก็สำเร็จทุกอย่าง
ถ้ามีอิทธิบาท ๔ ประการ คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ก็สำเร็จได้ เช่นการเล่าเรียนธรรมบาลี เป็นต้น
แรกเรียนก็ว่ายาก แต่พยายามไปก็สำเร็จ คนหนุ่มๆ
นั้นมีสมองมีความคิดที่จะทำงาน แต่โอกาสของคนหนุ่มไม่ค่อยจะเปิดให้ทำ
ความคิดก็เป็นหมันเสียหมด ครั้งนี้โอกาสเปิดแล้ว ก็ตั้งใจว่าจะทำจนสุดฝีมือ ขอให้ญาติโยมทั้งหลายคอยดู ภายใน ๓ ปีนี้
จะพัฒนาวัดโพธิขวางให้เจริญไปอย่างพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ
ให้วัดโพธิขวางเป็นวัดโพธิเจริญพัฒนาให้จงได้ ขอแต่ให้ญาติโยมผู้ใจบุญสุนทานให้ความร่วมมือบริจาคทรัพย์มาพัฒนาวัดนี้ให้เจริญ
เป็นดวงประทีปอันสว่างประจำตำบลนี้
ญาติโยมทั้งหลายจะได้ภาคภูมิใจว่ามีวัดเจริญรุ่งเรืองอยู่ประจำตำบลของเราต่อไป ขอขอบใจอนุโมทนาที่ท่านทั้งหลายพากันมาแสดงเมตตาจิตโมทนาในวันนี้ คืนนี้จะมีภาพยนตร์ ๒ จอ
มาฉายให้ดูฟรีเป็นการเฉลิมฉลองและเป็นการรื่นเริง
เปิดหูเปิดตาให้แก่ญาติโยมได้ชมฟรีด้วย”
“ลำดับต่อไปเป็นการกล่าวปราศรัยของท่านพระครูญาณวิสุทธิ์
เจ้าอาวาสกิตติมศักดิ์” เสียงโฆษกพูด
ท่านพระครูญาณวิสุทธิ์
ซึ่งได้นั่งสงบนิ่งก้มหน้าเป็นเวลานาน จึงได้เงยหน้าขึ้น พูดด้วยเสียงเรียบๆ ช้าๆ ทุกคนสงบ ตั้งใจฟังวาจาของท่านด้วยความเคารพ กิตติศัพท์ที่ว่าท่านวาจาสิทธิ์นั้นทำให้ทุกคนตั้งใจเงี่ยหูฟัง
“บรรดาญาติโยมทั้งหลาย
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้ตรัสสอนเรื่องไตรลักษณ์ไว้ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ ความไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตนเราเขา สิ่งทั้งหลายในโลกนี้ย่อมไม่เที่ยงแท้
ย่อมทนอยู่ไม่ได้ ย่อมไม่ใช่ตัวตนเราเขา จึงไม่ควรที่จะยึดมั่นในสิ่งใด สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
บัดนี้ท่านทั้งหลายก็เห็นความเปลี่ยนแปลงชัดแจ้งแล้ว ณ ที่วัดโพธิขวางนี้
ได้มีเจ้าอาวาสองค์ใหม่กำลังหนุ่มแน่น เข้มแข็ง ว่องไวทั้งกำลังกายและสติปัญญา
ความรู้ความสามารถ มาบริหารการคณะสงฆ์แทนตัวของฉัน ฉันมีความยินดีอนุโมทนามาก
เพราะโบราณท่านกล่าวไว้ว่า ทุกข์พ่อบ้าน ทุกข์สมภารเจ้าวัด ทุกข์พระมหากษัตริย์
สามอย่างนี้เป็นทุกข์มาก พ่อบ้านทุกข์เพราะครอบครัว ลูกเมียและบริวาร
ทรัพย์สมบัติ สมภารเจ้าวัดก็ทุกข์เพราะต้องปกครองวัด
บำรุงรักษาวัด ตลอดจนลูกศิษย์ลูกหา บรรดาญาติโยม นับว่ามีภาระมาก มีทุกข์ทับถม
ผูกมัดอยู่ตลอดเวลา ทุกข์พระมหากษัตริย์ทุกข์เพราะต้องปกครองอาณาประชาราษฎร์ในพระราชอาณาจักร
มีทุกข์มากขึ้นตามลำดับตามหน้าที่อันกว้างใหญ่นั้น ตัวฉันเอง
ก็ไม่ได้มีความมุ่งมาดปรารถนาจะเป็นสมภารเจ้าวัด แต่ก็ต้องมารับหน้าที่อยู่ถึง ๓๐
ปีเต็ม มีความทุกข์มากอยากจะเปลื้องภาระอันนี้
แต่ก็ไม่มีโอกาส บัดนี้ฉันก็มีความยินดีที่จะได้เปลื้องภาระนี้ให้แก่ท่านผู้ที่มีความสามารถเหมาะสมต่อไปแล้ว
ตัวของฉันเองนั้นบัดนี้ก็มีวัยชราภาพล่วงเข้ามาถึง
๘๖ ปีแล้ว เปรียบเหมือนเกวียนหรือเรือที่สัมภาระผุพังเต็มทีแล้ว
สุดกำลังที่จะซ่อมแซมให้ดีเหมือนแต่ก่อน ที่จริงฉันก็มีอายุยืนยาวกว่าที่ควรจะมี สมเด็จพระบิดาพระตถาคตของฉันนั้น
ท่านก็ยังมีพระชนมายุเพียง ๘๐ ปี ก็เสด็จเข้าสู่พระปรินิพพานอันบรมสุข ที่จริงพระยามัจจุราชก็ได้มารับฉันตั้งแต่อายุ
๘๐ ปีแล้ว แต่ฉันยังมีภาระผูกพันอยู่ ยังใช้หนี้พระศาสนาไม่หมด ฉันจึงขอผัดเวลาอีก
๗ ปี บัดนี้ก็เหลือเวลาอีกปีเดียว
ที่จะครบกำหนดนัดหมายกับพระยามัจจุราชท่านไว้ ตัวฉันชื่อเพ็ง เพราะว่าฉันเกิดวันเพ็ง เดือนสี่
นี่ก็เหลือเวลาอีก ๑ ปี พอถึงวันเพ็งเดือนสี่ปีหน้า
ฉันก็ต้องขอลาญาติโยมไปตามยถากรรมของฉันแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีเพื่อนสอง เพราะฉะนั้นบรรดาญาติโยมทั้งหลายจงได้มีใจยินดีอนุโมทนาแก่ฉันที่จะได้เปลื้องภาระหน้าที่สมภารเจ้าวัด
เพื่อปฏิบัติสมณธรรมแต่เพียงอย่างเดียว สำหรับจะได้รอวันเวลาที่จะมาถึงในวันเพ็ง
เดือนสี่ ปีหน้า ขอให้ญาติโยมทั้งหลายจงบำเพ็ญบุญกุศลต่อไป
อย่าได้ประมาทในชีวิตและความเป็นหนุ่มสาวของท่าน”
บรรยากาศในโบสถ์ขณะนั้นเงียบสงัด
แทบจะไม่ได้ยินเสียงอื่นใด
นอกจากกระแสเสียงของท่านพระครูญาณวิสุทธิ์ที่กล่าวอย่างเจื้อยแจ้ว เสียงนั้นเป็นเสียงสั่งลา
มีน้ำเสียงราบเรียบแจ่มชัด ฟังอ่อนหวานไพเราะจับใจ และหลายๆ คนก็ใจหายในความหมายในถ้อยคำของท่าน
ดูเหมือนจะมีลางสังหรณ์บอกให้รู้ว่า วันเพ็ญเดือนสี่ข้างหน้านี้ ท่านจะดับขันธ์ หลายคนเชื่อว่าท่านได้กำหนดวันตายของท่านไว้แล้ว
ที่พูดวันนี้ก็เป็นการสั่งลาญาติโยมเป็นครั้งสุดท้าย ท่านไม่เคยพูดอย่างนี้มาก่อนเลย ท่านพูดอะไรมักจะเป็นเช่นนั้น ท่านมีวาจาสิทธิ์
และมีญาณพิเศษ สามารถรู้อะไรได้ล่วงหน้าเสมอ
สำหรับบุหรง
สุนทรบุรี นั้นมีความรู้สึกใจหาย เศร้า และวังเวงใจ
เหมือนหนึ่งว่าบิดาบังเกิดเกล้าสั่งลาก่อนจะสิ้นลมหายใจ ถึงแม้ท่านจะบอกว่าเหลืออีก ๑ ปี
แต่เวลานั้นช่างสั้นเหลือเกิน อีกสักกี่เดือนกี่ปี
จึงจะพบพระภิกษุทรงคุณทรงธรรมอย่างหลวงพ่อองค์นี้ บุหรงมองดูหน้าคนอื่นก็นั่งเงียบสงบ
บรรยากาศซึมเศร้าอยู่ครู่ใหญ่ บางคนก็นั่งน้ำตาไหล
บางคนก็เช็ดน้ำตา สั่งน้ำมูก บางคนที่เป็นผู้หญิงถึงแก่ปล่อยโฮออกมา วันแสดงความยินดีอนุโมทนาต่อเจ้าอาวาสองค์ใหม่
กลายเป็นวันเศร้าซึมอย่างประหลาดที่สุด
ทันใดนั้นโฆษกก็ประกาศให้บรรดาญาติโยมถวายของขวัญของที่ระลึกแด่ท่านเจ้าอาวาสองค์ใหม่
ผู้ที่เตรียมของมาจึงได้นำเข้าไปถวาย บรรยากาศเศร้าซึมจึงค่อยเปลี่ยนไป
ตกกลางคืน
มีภาพยนตร์มาฉายกลางแปลงเป็นการเฉลิมฉลองการแต่งตั้งเจ้าอาวาสองค์ใหม่
ซึ่งนับเป็นครั้งแรกตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา เพราะเจ้าอาวาสองค์เก่าไม่นิยมให้มีงานวัด
ไม่มีมหรสพอะไรมาเล่นที่วัดนี้มาเป็นเวลานานแล้ว ท่านเคยพูดว่า
วัดเป็นที่สงบสงัดสำหรับปฏิบัติสมณธรรมของพระสงฆ์
จึงไม่ควรมีงานวัดและมีมหรสพมาแสดงในวัด มตินี้คนบางส่วนก็พอใจ
แต่มักจะเป็นคนรุ่นเก่าประเภทหัวธัมมะธัมโม คนรุ่นหนุ่มรุ่นสาวไม่ใคร่จะพอใจ เมื่อมีมหรสพคืนนี้
ผู้คนชาวตำบลนี้จึงพากันมามาก จนผู้คนเต็มลานวัดไปหมด
ทั้งพ่อค้าแม่ขายก็มาตั้งร้านขายอาหารเครื่องดื่มกันมาก รวมทั้งสุรา
ซึ่งหลวงพ่อองค์เก่าไม่ยอมให้ใครเอามากินมาขายในวัดนานแล้ว
คืนนั้นประมาณเที่ยงคืน
ก็มีเหตุการณ์แปลกประหลาดมหัศจรรย์เกิดขึ้นในวัดนี้
ผู้คนจำนวนมากได้แลเห็นและตกตะลึงกันไปทั่ว
มีวัตถุรูปกลมขนาดเท่าผลมะนาว
ขาวเป็นสีเงินยวง มีแสงสว่างโชติช่วง ลอยลิ่วมาจากบริเวณหน้าอุโบสถพุ่งสูงขึ้นไปเหนือยอดไม้
แล้วลอยเป็นแนวโค้งข้ามหมู่กุฎีสงฆ์จากด้านทิศใต้หน้าวัด
ไปตกลงตรงต้นหว้าใหญ่บริเวณหลังวัด
“ผีพุ่งใต้...”
“ดาวตก...”
“ไม่ใช่ผีพุ่งใต้
ผีพุ่งใต้ต้องพุ่งไปตรงๆ”
“ไม่ใช่ดาวตก
ดาวตกต้องพุ่งลงมาข้างล่าง”
พูดจากันอย่างนี้
ในหมู่ผู้ที่ได้พบเห็น
“พระธาตุปาฏิหาริย์”
ผู้ใหญ่พูดกันอย่างนี้
ต่างคนต่างพูดกันไปตามความเห็นของตน
เพราะเห็นเป็นเรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์
บ้างก็สงสัยว่าใครทำดอกไม้ไฟประเภทอ้ายตื้อ
หลอกคนเล่น แต่ก็ลงความเห็นกันว่าไม่ใช่
เพราะไม่มีเสียงดัง และดอกไม้ไฟจะไม่มีแสงสว่างโชติช่วงอย่างนี้ และข้อสำคัญดูเหมือนว่าวัตถุที่มีแสงสว่างขาวโชติช่วงนั้นมีชีวิตจิตใจ
คือค่อยๆ ลอยสูงขึ้นช้าๆ
แล้วค่อยแล่นโค้งเป็นรูปครึ่งวงกลมผ่านวัดจากทิศใต้หน้าวัดไปยังทิศเหนือหลังวัด และหายวับลงที่บริเวณต้นหว้าใหญ่หลังวัดนั้นเอง
รุ่งเช้ามีประสกวัดสี่ห้าคนไปหาหลวงพ่อเพ็งถามถึงเรื่องนี้
หลวงพ่อตอบว่า วัตถุสีสว่างเป็นเงินยวงขนาดเท่ากันนี้ ท่านเคยเห็นครั้งหนึ่งเมื่อมาอยู่วัดนี้ใหม่ๆ
วัตถุมีแสงสว่างขนาดเท่าผลมะนาวนั้นลอยขึ้นมาจากบริเวณหน้าอุโบสถ
ลอยสูงขึ้นไปประมาณ ๘-๙ วา เหนือยอดมะพร้าวแล้วก็ลอยกลับลงมาที่เดิม เมื่อคืนนี้ขณะท่านนั่งอยู่ที่กุฏิก็ได้เห็นวัตถุมีแสงสว่างนี้
มีขนาดเท่ากันแต่ลอยข้ามวัดไปยังทิศเหนือ
“วัตถุมีแสงสว่างนี้คืออะไรครับหลวงพ่อ?”
“โบราณท่านเรียกว่าพระธาตุปาฏิหาริย์
เป็นพระบรมสารีริกธาตุของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
แสดงปาฏิหาริย์ให้คนเห็นในคราวสำคัญๆ เช่น
เวลาพระเจ้าแผ่นดินเสด็จยกทัพไปรบข้าศึก ถ้ามีพระธาตุเสด็จปาฏิหาริย์เหาะลอยนำไปข้างหน้ากองทัพ
เป็นนิมิตจะได้รับชัยชนะแก่ข้าศึก เพราะท่านถือว่ากองทัพนั้นไปรบเพื่อป้องกันรักษาพระพุทธศาสนา
จึงแสดงปาฏิหาริย์ให้ปรากฏ”
“ที่แสดงปาฏิหาริย์ให้หลวงพ่อเห็นครั้งแรกมีนิมิตว่าอย่างไรเล่าครับ?”
“ก็แสดงว่าวัดจะรุ่งเรืองขึ้นแล้วก็เสื่อมโทรมลงตามกาลเวลา
แสดงปาฏิหาริย์ให้รู้ว่าวัดนี้มีพระบรมสารีริกธาตุสถิตอยู่”
“แล้วที่เสด็จปาฏิหาริย์เมื่อคืนนี้หมายความว่าอย่างไร?”
“เป็นนิมิตหมายแสดงให้รู้ว่า
วัดโพธิขวางนี้ในอนาคตอันใกล้นี้จะหันหน้ากลับจากทิศใต้
หันหน้าวัดไปทางทิศเหนือ”
“จะเป็นไปได้ยังไงหลวงพ่อ?”
“เป็นไปได้แน่นอน
ไม่เกิน ๓ ปีนี้
ทางราชการจะตัดถนนใหญ่จากกรุงเทพฯ แล่นผ่านไปข้างหลังวัดนี้
จะมีรถราแล่นผ่านไปมามาก วัดของเราก็จะหันหน้าออกไปสู่ถนนสายใหม่นี้”
“แหมก็ดีซีครับหลวงพ่อ
ผมอยากให้เป็นเหมือนปากหลวงพ่อว่าเร็วๆ”
“จ้ะ
คอยดูเถอะจ้ะ”
“หลวงพ่อรู้ได้อย่างไร?”
นายเงื่อน ชายหนุ่มวัย ๓๐ ปี ที่นั่งอยู่ด้วยได้ถามขึ้น
“ฉันรู้
เพราะฉันเห็นน่ะซีจ้ะ”
“หลวงพ่อก็มีตาทิพย์น่ะซี”
นายเงื่อนพูดมีน้ำเสียงกระด้างแสดงอาการไม่เชื่อถือ
“คอยดูก็แล้วกันจ้ะ”
หลวงพ่อยืนยันด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “แต่ฉันเสียดาย
ที่ไม่มีโอกาสจะได้เห็นด้วยตาจริงๆ เหมือนคนอื่นเขาหรอกจ้ะ”
(ติดตามอ่านต่อ ตอน ๓)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น