วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ตอน๙.. ผู้ก่อการร้ายในป่า


โพธิขวาง

๙.ผู้ก่อการร้ายในป่า

มีผู้มารายงานกำนันเชื้อว่า นายจวง สารวัตรกำนันถูกคนร้ายยิงตายอยู่ริมทาง ขณะที่เดินกลับจากไร่อ้อยที่เชิงเขา  กำนันจึงไปแจ้งความที่อำเภอ
นายอำเภอ พร้อมด้วยปลัดปรีชา ปลัดอำเภอโทฝ่ายปราบปราม  พ.ต.ต.จินดา สารวัตรใหญ่  จ.ส.ต.สมัย ส.ต.ท.สมพงศ์ กำนันเชื้อ นายแสวง อนามัยอำเภอ จึงได้เดินทางไปชันสูตรพลิกศพตามธรรมเนียม
เดินทางด้วยเรือหางยาว ไปขึ้นที่ท่าปากทางเข้าไปยังเชิงเขา หนทางนั้นเป็นทางเท้าต้องเดินทางด้วยเท้าไปอีกประมาณ ๔ กิโลกเมตรจึงจะถึงศพผู้ตาย  ก่อนจะถึงศพผู้ตายเป็นป่ามีต้นไม้ใหญ่และป่าละเมาะปกคลุมอยู่ พอจะเลี้ยวเข้าทางแยกซ้ายมือ เสียงปืนก็ดังขึ้นทางขวา ดังรัวเหมือนเสียงประทัด  พอรู้สึกว่าถูกผู้ร้ายซุ่มยิง ก็วิ่งหลบนอนหมอบกันเป็นพัลวัน  เมื่อสิ้นเสียงปืน ปรากฏว่ามีนายอำเภอกับอนามัยอำเภอสองคนเท่านั้นที่ปลอดภัย วิ่งหนีกลับมาได้  นอกนั้นไม่มีผู้ใดวิ่งหนีออกมา
นายอำเภอกับอนามัยอำเภอ ลงเรือหางยาวกลับไปอำเภอ ไปรายงานผู้กำกับและผู้ว่าราชการจังหวัด ระดมกำลังตำรวจมา ๒๐ กว่าคน พร้อมด้วยอาวุธปืนครบมือ เข้าไปเคลียร์พื้นที่  จนกระทั่งถึงจุดที่ถูกยิง พบศพ พ.ต.ต.จินดา สารวัตรใหญ่ จ.ส.ต.สมัย ส.ต.ท.สมพงศ์ กับนายปรีชา ปลัดอำเภอโท นอนตายอยู่ใกล้ๆ กัน รวม ๔ ศพ ล้วนแต่ถูกกระสุนปืนคนละหลายแห่ง  ส่วนกำนันเชื้อนั้นทำเป็นนอนตายอยู่บริเวณนั้น แต่ไม่ได้รับบาดเจ็บอย่างใดเลย
หลายคนตั้งข้อสงสัยว่า กำนันเชื้อจะเป็นสายสนกลในพาตำรวจมาให้ผู้ก่อการร้ายยิง  แต่กำนันเชื้อสบถสาบาน มีลักษณะที่น่าเชื่อถือ ไม่มีพิรุธอย่างใด นายจวงผู้ตายก็เป็นสารวัตรกำนัน นอนตายอยู่ห่างประมาณ ๑ เส้นเศษ
มีคนขอดูของดีกำนันเชื้อ ปรากฏว่ามีพระสมเด็จแขวนคออยู่องค์หนึ่ง กับพระขุนแผนวัดบ้านกร่างอีกองค์หนึ่ง
ส่วนนายอำเภอกับนายแสวงอนามัยอำเภอ ก็มีพระสมเด็จกรุวัดโพธิขวางอยู่คนละองค์ เช่ามาองค์ละ ๑,๐๐๐ บาท คราวเดียวกัน
ข่าวผู้ก่อการร้ายซุ่มโจมตี ฆ่าข้าราชการตาย ๔ คน แพร่สะพัดไปทั่ว เป็นข่าวใหญ่โตที่สุดในรอบปี
แต่ข่าวสมเด็จวัดโพธิขวาง ก็โด่งดังไปทั่วพร้อมๆ กัน  ผู้คนแตกตื่นหาเช่าพระสมเด็จวัดโพธิขวาง องค์ละหลายหมื่นบาท พ่อค้าบางคนให้ราคาถึง ๑๐๐,๐๐๐ บาท
ในวงราชการนั้น เริ่มรู้สึกกันว่าผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ เริ่มเข้ามาก่อการร้าย ลอบยิงเจ้าหน้าที่ในเขตอำเภอนี้แล้ว  ทางราชการเริ่มเคลื่อนไหวสอดส่อง และประชุมราษฎรตามตำบลต่างๆ ให้รู้ถึงภัยของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์
แต่ในหมู่ราษฎรนั้นกลัวภัยจากโจรผู้ร้ายธรรมดามากกว่า เรื่องภัยจากผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ไม่มีใครพูดถึง
“อาจจะเป็นผู้ร้ายธรรมดาลวงเอาไปฆ่า”
“มันอาจยิงอ้ายจวงให้ตายเอาไปเป็นเหยื่อล่อ”
“คนที่ตาย ๔ คน ล้วนแล้วแต่ตัวร้ายๆ ทั้งนั้น”
“ปลัดปรีชาก็นักรีดไถ”
“สารวัตรจินดา ก็ตัวร้าย ตายเสียได้แผ่นดินก็สูงขึ้น”
“จ่าสมัยก็คุมบ่อนหวยเถื่อนให้เจ้านาย”
“สิบตำรวจโทสมพงศ์ ก็หัวหน้าคุมซ่องกะหรี่”
“คนดีๆ ไม่เห็นถูกยิง”
“นายอำเภอก็คอรัปชั่น ทำไมไม่ตาย”
“มีพระสมเด็จองค์หนึ่ง”
“กำนันเชื้อก็รอด”
“มีสมเด็จ วัดโพธิขวาง”
“หมอแสวง อนามัยอำเภอก็ไม่เป็นไร”
“มีพระสมเด็จ”
ราษฎรทั่วไป พูดวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างนี้ทั่วไป
ในวงสนทนาของชาวบ้าน มุ่งไปที่พระสมเด็จวัดโพธิขวาง ยิ่งกว่าข่าวการตายของข้าราชการ
ในวงข้าราชการนั้น พูดกันถึงเรื่องผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ เป็นเรื่องสำคัญอันดับแรก เรื่องพระสมเด็จเป็นอันดับรอง
ความคิดของข้าราชการกับราษฎรจึงไปคนละแนว มองเหตุการณ์ครั้งนี้คนละทัศนะไม่ตรงกัน
พระสงฆ์วัดโพธิขวาง ก็คิดต่างกัน
พระมหาสว่าง มองในแง่ผู้ก่อการร้าย ใครไปมาก็พูดทางนี้ ในใจสงสัยนายเงื่อนเต็มที่ รู้สึกตื่นเต้นมาก
แต่ทางหลวงพ่อเพ็งเฉยๆ อยู่ตามปกติ ท่านไม่พูดถึงเรื่องนี้กับใคร  ใครไปพูดกับท่าน ท่านก็นิ่ง
“มันเรื่องเวรกรรมของเขา” ท่านพูดประโยคนี้ประโยคเดียว  ใครจะไปซักถามอย่างไรท่านก็ไม่ออกความเห็น
นายอำเภอ ผู้กำกับ ผู้ว่าราชการจังหวัด ไปหาท่านหลังจากเกิดเหตุการณ์ครั้งนี้แล้ว  ท่านก็พูดแต่ว่า “มันเป็นเวรกรรมของเขา”
เมื่อถามท่านว่า จะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้อีกหรือไม่  ท่านก็ว่า “สุดแล้วแต่จะผูกเวรกรรมกันต่อไปหรือไม่”
ในที่สุดก็จนปัญญา ได้แต่ขอของดีจากท่าน ท่านก็ว่าไม่ได้ทำอะไรไว้
ศพของข้าราชการทั้ง ๔ นาย นำมาทำพิธีรดน้ำศพและสวดพระอภิธรรมที่วัดเจ้าคณะจังหวัดในตัวเมืองอย่างสมเกียรติที่ตายในขณะปฏิบัติหน้าที่  มีแม่ทัพกองทัพภาค ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค อธิบดีกรมตำรวจ อธิบดีกรมการปกครอง ผู้ว่าราชการจังหวัด คณะพ่อค้า คณะข้าราชการ รับเป็นเจ้าภาพสวดอภิธรรมกันอย่างคึกคักคับคั่ง แต่ละคืนมีคนมากมายเป็นประวัติการณ์  ผู้ตายได้ปูนบำเหน็จความชอบคนละ ๕ ขั้น พ.ต.ต.จินดา เป็นพันตำรวจเอก  นายปรีชา ปลัดอำเภอได้เป็นข้าราชการระดับ ๖ ข้าราชการชั้นเอก  จ.ส.ต.สมัย ได้เป็นร้อยตำรวจเอก  ส.ต.ท.สมพงศ์ ได้เป็นร้อยตำรวจตรี
ในเวลาต่อมาก็มีการพระราชทานเพลิงศพอย่างสมเกียรติ มีการ์ดแจกจ่ายเชิญผู้คนไปทั่ว ทั้งข้าราชการ ทหาร ตำรวจ พ่อค้า ลูกเสือชาวบ้าน และญาติมิตร ประชาชนทั่วไป  มีผู้คนไปในงานพระราชทานเพลิงศพ พ.ต.อ.จินดา ร.ต.อ.สมัย ร.ต.ต.สมพงศ์ และนายปรีชา ข้าราชการพลเรือนชั้นเอกกันอย่างล้นหลาม  พิธีพระราชทานเพลิงศพมีแตรเดี่ยว เป่าเพลงนอน มีกองตำรวจตั้งแถวเกียรติยศ มีพระสงฆ์เจ้าคณะทั้งจังหวัดไปสวดหน้าศพ  พระมหาสว่าง เจ้าอาวาสวัดโพธิขวางก็ได้รับนิมนต์ไปด้วย มีหนังสือแจกเป็นที่ระลึกในงานหลายเล่มลงประวัติสรรเสริญเกียรติคุณของผู้ตายมากมาย  ผู้บัญชาการกองพล แม่ทัพภาค อธิบดี ปลัดกระทรวง ไปร่วมเป็นเกียรติอย่างคับคั่งเป็นประวัติการณ์  พิธีพระราชทานเพลิงศพที่มีเกียรติยศอย่างสูงสุดในจังหวัดนั้น ไม่เคยปรากฏมาก่อน เป็นที่กล่าวขวัญเลื่องลือไปทั้งจังหวัด
กำนันเชื้อ หลังจากเสร็จธุระเรื่องการศพของบรรดาข้าราชการทั้ง ๔ นาย ก็ได้มาที่วัด  จัดการศพนายจวง สารวัตรกำนันของตน  แล้วก็ได้นุ่งขาวห่มขาวเข้าวัดสมาทานศีลอุโบสถ ถือศีลกินเพลอยู่ ๗ วัน  ระหว่างนั้นก็มาคุยกับหลวงพ่อเพ็งบ้าง ไปคุยกับพระมหาสว่างบ้าง เล่าเรื่องเหตุการณ์วันผู้ก่อการร้ายซุ่มยิงอย่างขนพองสยองขวัญ ว่ารอดตายมาได้นี่ก็เพราะพระคุ้มครองแท้ๆ เลยมาถือศีลอุทิศกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรเสีย ๗ วัน เป็นการสะเดาะเคราะห์
ข้างฝ่ายนายเงื่อนนั้น ระยะนี้หายหน้าไปนาน  ได้ข่าวว่าทางราชการเพ่งเล็ง สอดส่องติดตามพฤติการณ์อยู่ จึงเก็บตัวเงียบอยู่กับบ้านไม่ไปไหน วัดโพธิขวางก็ไม่มา
หลังจากทางราชการจัดการพระราชทานเพลิงศพข้าราชการที่เสียชีวิตแล้ว เหตุการณ์เงียบสงบลง  นายเงื่อนจึงโผล่หน้ามาที่วัด เข้าไปกราบกรานหลวงพ่อเพ็ง  คราวนี้มาแต่ลำพังคนเดียว ไม่มีเพื่อนคู่หูติดตาม
หลวงพ่อเพ็งนั่งนิ่งก้มหน้าอยู่สักครู่หนึ่ง ก็กล่าวเปรยๆ ขึ้น
“ไม่น่าจะก่อกรรมก่อเวรกันเลย”
นายเงื่อน มองหน้าหลวงพ่อ  เหลียวซ้ายแลขวา เมื่อไม่เห็นมีใครก็พูดขึ้นว่า
“เขาตั้งใจจะเก็บสารวัตรคนเดียว”
“อ้ายจวงน่ะ มันอะไรกับเขาด้วย?”
“เขาจะเอาเป็นเหยื่อล่อเสือให้ติดจั่น”
หลวงพ่อเพ็งนิ่ง
“คนอื่นเขาไม่ต้องการตัว  แต่เผอิญวันนั้นมีคนแต่งเครื่องแบบ ๔ คน อ้ายพวกนั้นมันจำไม่ได้ว่าคนไหนแน่ มันเลยส่องเรียบ  กำนันเชื้อมันรู้จัก นายอำเภอไม่แต่งเครื่องแบบ อนามัยอำเภอก็ไม่แต่งเครื่องแบบไป ก็เลยรอด ๓ คน”
หลวงพ่อเพ็งนิ่งเฉย
พอพูดจบประโยค สมภารสว่างก็เดินเข้ามาทางด้านหลัง ทักทายนายเงื่อนว่าหมู่นี้หายหน้าไปหลายวัน  นายเงื่อนก็ว่ามีธุระส่วนตัวไม่ค่อยว่าง
“หลังจากมาคุยกับท่านวันนั้นแล้ว ไม่กี่วันผมก็ถูกจับ ไม่ทราบว่าตำรวจเขามีพลายกระซิบไว้ยังไง” นายเงื่อนพูด
“นายเงื่อน คงไม่ได้พูดกับฉันหนเดียว คงเผลอพูดที่ไหนอีก เจ้าหน้าที่เขามีหูมีตามีสายลับอยู่ทั่วไป” พระมหาสว่าง พยายามพูดให้พ้นตัว
“ผมก็เลยถูกเพื่อนเราเผาเรือน”
“นี่ทางตำรวจเขาว่ายังไง?”
“ก็จะว่ายังไงครับ เขาจะเอาสีแดงมาย้อมผม มันก็ไม่แดง  อ้ายผมมันสีเหลือง”
“เขาว่าคุณเงื่อนมีพระสมเด็จ ฉันอยากได้สักองค์”
“ขอท่านกำนันเชื้อซีครับ”
พระมหาสว่างหัวเราะหน้าเจื่อนๆ แล้วก็เสพูดว่า
“มีคนมาให้แกตั้ง ๕๐,๐๐๐ บาท แกยังไม่ให้”
“ท่านมหาขอ แกอาจจะให้นะครับ”
“ระหว่างกำนันเชื้อ กับคุณเงื่อนนี่ ถ้าจะให้อะไรฉัน ฉันว่าคุณเงื่อนให้สิ่งที่มีค่าแก่ฉันได้มากกว่า”
“ท่านมหาพูดอย่างนี้ กำนันเชื้อได้ยินจะเสียใจแย่”
“จริงๆ นะคุณเงื่อน ฉันพูดจริงๆ”
“ได้ข่าวว่า ท่านมหาไปในงานพระราชทานเพลิงศพ ที่จังหวัด?”
“ใช่ พระสมภารเจ้าวัดได้รับนิมนต์ไปทุกหัววัด  งานมีเกียรติมาก คนมากมายเหลือเกิน  คุณเงื่อนไม่ได้ไปหรือ?”
“ผมมันราษฎรธรรมดาครับ ใครเค้าจะมาเชิญไปเป็นเกียรติ  เขาไม่จับฐานสงสัยว่าเป็นผู้ก่อการร้ายก็บุญแล้ว”
“คุณเงื่อนจะเป็นผู้ก่อการร้ายได้ยังไง”
“ครับ ผมเป็นผู้ก่อการดี”
“ใช่ เป็นผู้ก่อการบุญการกุศลในวัดเราดีกว่า เรียกว่าผู้ก่อการดี”
“ครับ ท่านมหาจะก่อการดีอะไร บอกผมด้วยก็แล้วกันครับ”
“มีซี ฉันมีอยู่ในหัวสมองเยอะ มีแผนการไว้มาก วันหลังเรามาหารือกันใหม่”
“ต้องเชิญกำนันเชื้อมาหารือด้วย ถึงจะสำเร็จ”
“ใช่ กำนันเชื้อ คิดโครงการใหญ่ไว้แล้ว ไม่ช้าก็คงรู้กัน”
“แหม กำนันเชื้อกับท่านมหานี่ช่างมีลับลมคมในกันจริงๆ”
“ไม่ลับลมคมในอะไรหรอก แล้วก็รู้กันเอง”
เมื่อได้สนทนากันพอหอมปากหอมคอแล้ว ต่างคนก็ต่างเงียบ  สมภารก็ลุกจากไป นายเงื่อนก็ลากลับบ้าน
นายเงื่อน นึกรำพึงในใจว่า สมภารสว่างหมู่นี้ดูจะใจคอเยือกเย็นมีชั้นเชิงดีขึ้นมาก พยายามพูดรุกก็รู้จักหลบอย่างมีชั้นเชิงตลอดเวลา  แต่สีหน้าท่าทีและสายตา ก็พอจะดูกันออก คนเราก็พอจะรู้ทันกัน
“ตีนงูงูหากไซร้             เห็นกัน
นมไก่ไก่สำคัญ             ไก่รู้
หมู่โจรต่อโจรหัน           เห็นเล่ห์ กันนา
เชิงปราชญ์ฉลาดกล่าวผู้ ปราชญ์รู้เชิงกัน”

นายเงื่อนนึกถึงคำโคลงโลกนิติบทนี้อยู่ในใจ.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น