โพธิขวาง ๘. มีปากเป็นคมขวาน |
“ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์
มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต
ถ้าพูดชั่วตัวตายทำลายมิตร
จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา”
โบราณท่านกล่าวถึงเรื่องปากไว้หลายอย่าง
ตั้งเป็นสุภาษิตและคำพังเพย ท่านคงจะเคยเห็นมาแล้ว
จึงเอามาผูกเป็นคำพูดไว้สอนใจคน
“พูดมากงานน้อย”
“คนโง่หัวใจอยู่ที่ปาก
คนฉลาดปากอยู่ที่หัวใจ”
“พูดดีเป็นศรีแก่ตัว
พูดชั่วอัปราชัย”
“พูดไปสองไพเบี้ย
นิ่งเสียตำลึงทอง”
“คนที่ชอบด่าคน
เหมือนมีขวานอยู่ที่ปาก คอยถากคนอื่นเขา แต่เผลอมันก็ฟันเอาตัวเราจนได้”
“ปากเป็นที่สำหรับเพาะมิตรและสร้างศัตรู”
ถ้อยคำเหล่านี้
ก็อาจจะได้แก่นายเงื่อน สุขสันโดษ
ข่าวที่ว่าตำรวจมาจับนายเงื่อน
ฐานเป็นคอมมิวนิสต์นั้นลือไปทั้งบาง ใครเจอใครก็ถามกัน พูดกันถึงเรื่องนี้
เพราะนายเงื่อนนั้นจะว่าไปก็มีคนรู้จักทั้งตำบล อาชีพรับน้ำตาลขายส่งก็ต้องติดต่อกับคนอาชีพขายของชำ
และตั้งร้านกาแฟ ก็มีคนมาติดต่อ ยังเป็นคนมีความรู้ดี พูดได้คล่องแคล่วคารมดี
โวหารดีด้วย คนก็ยิ่งรู้จักมาก มีตำแหน่งเป็นกรรมการพัฒนาวัด
ไปโต้คารมกับพระมหาเปรียญอีกเล่า นายเงื่อนกลายเป็นคนดังระดับตำบลไป
การที่นายเงื่อนมาถูกจับในข้อหาเป็นภัยแก่สังคม
จึงออกจะซู่ซ่ามาก
กำนันเชื้อ
เป็นคนรู้ดีกว่าเพื่อน เพราะทางเจ้าหน้าที่ตำรวจให้กำนันไปด้วยในวันนั้น กำนันได้เล่าให้พระมหาสว่างฟัง
“ได้ของกลางเป็นหนังสือ ๗-๘
เล่ม ชื่อ ความคิดของเหมาเจ๋อตุง สงครามจรยุทธในเวียดนาม, หนทางไปสู่สังคมนิยม,
ความเรียงว่าด้วยศาสนา” กำนันเล่า “หนังสือคอมมิวนิสต์ทั้งนั้น “คอมที่รัก, ๙ ปีใน
ก.อ.ร.ม.น. เปิดหน้ากาก ไอ.ซี.เอ, ธนาคารพานิชย์เสือนอนกิน, ตำรวจเขายึดเอาไปหมด แต่ไม่ได้เอกสารติดต่อ”
“แล้วนี่จะมีโทษหนักไหม?”
พระมหาสว่างถาม
“นี่เขาก็สั่งขังฐานเป็นภัยแก่สังคม
๓๐ วัน”
“แล้วจะฟ้องร้องติดตะรางนานสักแค่ไหน?”
“เขากำลังสอบสวนพยานหลักฐานอยู่
ผมว่าติดนาน ตำรวจเอาจริงจังมาก สอบสวนกลางคืนจนดึกดื่น”
“นายเงื่อน รับสารภาพไหม?”
“โอ๊ะ อ้ายนี่ใจแข็ง ปากแข็ง
มันเคยเป็นตำรวจมาแล้ว
ได้ยศนายสิบโทนั่นแน่ะ ผมก็พึ่งรู้คราวนี้เอง มันมียศเป็นสิบโท ลาออกจากราชการได้ ๓ ปี
มันไม่ได้ถูกไล่ออกหรอก แต่มันคงเป็นช้างเหลือขอ คงโดนบีบให้ออก”
กำนันเชื้อเล่าต่อไปว่า “มันเคยเป็นครูประชาบาล เคยเป็นทหาร เคยเป็นตำรวจ
เคยทำงานบริษัทประกันชีวิต ผ่านงานหลายอย่าง เคยบวชเรียน แต่ละแห่งที่ทำงานไม่ถูกกับนายทั้งนั้น”
“แล้วหนังสือคอมมิวนิสต์ที่ว่านั้น
เขาได้รับมาจากไหน” พระมหาสว่างสนใจ
“มันบอกว่ามันซื้อมาทั้งนั้น
มีขายตามร้านหนังสือ มันจดไว้หมดว่า หนังสือเล่มนี้ซื้อเมื่อไร
เป็นเงินเท่าไร ซื้อมาจากร้านไหน มันจดไว้ในหนังสือทุกเล่ม”
“รอบคอบมาก”
“มันบอกว่า
ถ้ามีหนังสือเหล่านี้เป็นคอมมิวนิสต์ละก็ เป็นกันตั้งแต่ครูประชาบาล ข้าราชการ
พ่อค้า นายธนาคาร ตำรวจ นิสิตนักศึกษา ก็เป็นกันมากมาย เพราะหนังสือนี้มีขายทั่วไป
ใครก็ซื้ออ่านกันทั้งนั้น”
“แล้วที่เที่ยวพูดในที่ต่างๆ”
“มันบอกว่ามันไม่ได้พูด
ไม่มีคนยืนยัน”
“ใช่ ใครจะกล้ายืนยัน ฉันก็ไม่เอามือไปซุกหีบ” พระมหาสว่างพูด
“ก็ไม่มีพยานหลักฐานอย่างนี้
เขาก็คงปล่อย” กำนันเชื้อว่า “แต่เขามีสิทธิขังเป็นภัยต่อสังคมได้ ๓๐ วัน
ต่อจากนั้นก็อาจจะส่งไปฝึกอาชีพ เห็นสารวัตรว่ายังงี้”
แต่สิ่งที่ทำให้คนทั้งหลายแปลกใจมาก
กำนันเชื้อผิดหวัง พระมหาสว่างตกใจ ก็คือหลังจากถูกจับไปได้
๓ วัน นายเงื่อนก็โผล่หน้ามาที่วัด ขึ้นมาคุยกับพระครูญาณวิสุทธิ์
“หลวงพ่อครับ
เกิดมาผมก็ไม่เคยเข้าห้องขัง พึ่งโดน ๓ วัน ๓ คืนคราวนี้แหละ แหม มันทารุณสิ้นดี ยุงก็ชุม เลือดก็กัด
เหม็นเยี่ยวอ้ายคนต้องขังก็เหม็น ๓ วัน ๓
คืน ผมไม่ได้นอนเลย นั่งหลับคืนหนึ่งสักครึ่งชั่วโมงได้ ออกจากห้องขังมันก็เรียกไปสอบตั้งครึ่งคืนค่อนคืน
กลางวันมันก็ไม่สอบ มันแกล้งทรมานเล่น”
หลวงพ่อเพ็ง
ฟังแล้วก็ไม่ว่าอะไร
“ผมหมดที่พึ่งเข้าจริงๆ
ผมก็เลยนึกถึงหลวงพ่อเป็นคนแรก ผมมีพระสมเด็จเปิดกรุติดตัวไปองค์หนึ่ง
ผมเอาใส่มือพนมเข้า นึกถึงหลวงพ่อ อธิษฐานว่า ถ้าศักดิ์สิทธิ์จริง
ให้ได้ออกจากห้องขังภายใน ๓ วัน พอรุ่งขึ้นวันที่ ๓ เท่านั้น ผมก็ถูกปล่อยมานี่ ผมเลยมากราบขอบคุณหลวงพ่อ”
หลวงพ่อเพ็งนิ่ง
“ผมอยากให้หลวงพ่อรดน้ำมนต์ล้างซวยให้ที”
“ไม่ต้องหรอก
เอาพระสมเด็จนั่นแหละไปแช่น้ำ บอกเล่าเข้า เอาไปอาบเอาเอง” หลวงพ่อบอก
เมื่อกลับไปถึงบ้าน พอรู้เรื่อง นายเงื่อนก็เดือดดาลเป็นที่สุด เพราะแม่กิมหงษ์ภรรยานายเงื่อนกระซิบให้ฟังว่า
ได้เอาเงินไปให้สารวัตร ๑๒,๐๐๐ บาท เมื่อวานนี้
“เขาส่งคนมาเรียกร้องหรือเปล่า?”
“เปล่า ฉันไปหาเขาเองที่บ้าน
ทีแรกจะเอา ๓๐,๐๐๐ บาท ว่าจะให้นายอำเภอ
ผู้กำกับคนละ ๑๐,๐๐๐ บาท ฉันว่าฉันมี
๑๐,๐๐๐ บาท เดี๋ยวแกขออีก ๒,๐๐๐ บาท ฉันก็เลยให้ไป”
“โง่บัดซบ หลักฐานไม่มี
เขาจะต้องปล่อยวันยังค่ำ”
“สารวัตรบอกว่า ถ้าหลักฐานไม่มี
เขาก็มีสิทธิขังบุคคลเป็นภัยต่อสังคมได้ ๓๐ วัน แล้วส่งไปฝึกอาชีพอีก ๖ เดือน”
นายเงื่อนชักสงสัยว่า
ที่เขาหลุดออกมาได้ใน ๓ วันนั้น เพราะพระสมเด็จที่เขาอธิษฐาน หรือว่าเงิน ๑๒,๐๐๐
บาท กันแน่?
แต่แน่นอน เขาเสียดายเงิน
๑๒,๐๐๐ บาท เขารู้ดีว่าเงินสดเขาไม่มีติดบ้านถึง
๑๐,๐๐๐ บาท ภรรยาต้องไปกู้ยืมใครมา
“ได้เงินใครมา?”
“เงินเตี่ย” นางกิมหงษ์ตอบ นางกิมหงษ์ภรรยานายเงื่อน
เป็นลูกสาวจีนต่างด้าวแม่คนไทย
นายเงื่อนนั่งคิดถึงตัวเอง
เข้าเป็นครูก็ต้องเสียเงิน พ่อเอาเงินไปให้ศึกษาธิการสมัยนั้น ๒๐๐ บาท ก็มากอยู่ เข้าตำรวจก็ต้องเสียเงินเข้า นี่ต้องคดีก็ต้องเสียเงิน นายเงื่อนจึงเกลียดคอรัปชั่นเข้ากระดูกดำจริงๆ
จะต้องหาทางแก้แค้นให้จงได้ “คนฉลาดมีความรู้ขนาดเรายังโดนเช่นนี้
แล้วคนโง่เขลาชาวบ้านจะโดนขนาดไหน” นายเงื่อนพูดกับตัวเอง
นายเงื่อนนึกถึงพระสมเด็จที่ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ
ซึ่งทีแรกนายเงื่อนเชื่อว่าเป็นปาฏิหาริย์ของพระสมเด็จ ตำรวจจึงปล่อยตัวออกมาภายใน
๓ วัน เหมือนที่ตั้งจิตอธิษฐานในยามที่ไร้ที่พึ่ง แต่บัดนี้นายเงื่อนรู้แก่ใจว่าไม่ใช่หรอก
อำนาจเงิน ๑๒,๐๐๐ บาท ที่ภรรยาเอาไปประเคนให้สารวัตรใหญ่นั่นต่างหาก
“เอ้อ ยามมีภัยได้ทุกข์
คนก็คิดพึ่งผีพึ่งพระกัน” นายเงื่อนพูด “แต่ที่แท้ก็อ้ายเงินตัวเดียวนี่เอง”
ว่าพลางนายเงื่อนก็ควักพระสมเด็จออกจากกระเป๋าเสื้อ เอาไปวางไว้บนหลังตู้เสื้อผ้า
“รู้งี้ปาหัวอ้ายสารวัตรจินดาไปแล้ว มันขอแล้วขออีก มันจะเอาพระสมเด็จเราให้ได้
พอมันค้นพบมันก็จะยึดเอาพระสมเด็จท่าเดียว” นายเงื่อนนึกในใจ
ลำดับภาพเหตุการณ์วันที่ถูกสอบสวนกลางดึกคืนนั้น
“อ้ายตำรวจเลวๆ อย่างนี้
มันก็นับถือพระด้วย พระที่ไหนจะคุ้มครองมัน” นายเงื่อนพูดดังๆ
“ใคร พี่เงื่อน?”
“ก็ใครเสียอีก
ก็อ้ายสารวัตรจินดา”
“ทำไม?” นางกิมหงษ์ถามไปเรื่อยๆ
ยังงั้น
“มันจะหักคอเอาพระสมเด็จพี่”
“พระสมเด็จที่ไหน?”
“ก็พระสมเด็จที่พี่เช่ามาจากหลวงพ่อเพ็งที่เปิดกรุ
๑,๐๐๐ บาทไงล่ะ”
“พี่ให้ไปหรือเปล่า?”
“เปล่า ให้มันเรื่องไร”
“แล้วอยู่ไหน?”
“อยู่หลังตู้นั่น”
“พี่ไม่เอา ฉันเอาเอง
เช่ามาตั้งพันแล้วจะเอาไปวางทิ้ง เดี๋ยวก็หาย”
นางกิมหงษ์เดินไปหยิบเอาพระสมเด็จมาดูๆ
แล้วก็เอาไปเก็บไว้
ตกค่ำนั้นนายเงื่อนก็มีอาการท้องเสียถ่ายท้องหลายครั้ง
ถ่ายจนเป็นน้ำไหลโจ๊ก ถ่ายถึง ๗-๘ ครั้งก็ไม่หยุด หยูกยาไม่มีจะกิน
จะไปหาหมอก็ดึกแล้ว
นางกิมหงษ์ก็จนปัญญาเต็มที
อยู่ด้วยกัน ๒ คนสามีภรรยา จะไปหาหยูกยา ก็ไม่รู้ว่าจะไปหาหมอที่ไหน นายเงื่อนก็ถ่ายไม่หยุด จนลุกขึ้นไม่ค่อยไหว
นางกิมหงษ์
นึกถึงหลวงพ่อเพ็ง แล้วก็นึกถึงพระสมเด็จที่เก็บไว้ จึงลุกขึ้นหยิบเอามาจุดธูปเทียนบอกเล่าหลวงพ่อเพ็ง
“เจ้าพ่อคู้น
ช่วยลูกด้วยเถอะ หายแล้วจะไปเลี่ยมทองไว้บูชา”
พลางก็เอาขันน้ำมาตักน้ำใส่ขันเข้า
เอาพระสมเด็จแช่ลงไป
“เจ้าพ่อคู้น
ขอให้เป็นน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์กินแล้วหายถ่ายท้อง อย่าให้ถ่ายอีกเลยตลอดคืนตลอดวัน ขอให้ศักดิ์สิทธิ์ ลูกจะเอาไปเลี่ยมทองไว้บูชา”
แล้วก็หยิบพระขึ้นจากขัน เอาไปให้ผัวกินน้ำในขัน
“เอ้า พี่ กินเสีย”
“อะไร?”
“ยาแก้ท้องเสีย”
นายเงื่อนยกขันขึ้นดื่มโดยไม่ลืมตา
“ยาอะไรหอมๆ เหมือนธูป?”
นางกิมหงษ์ไม่ตอบ
นายเงื่อนนอนสงบนิ่งอยู่ตลอดคืน
จนรุ่งเช้าไม่ถ่ายท้องอีกเลย ตื่นเช้าลุกขึ้นนั่งกินข้าวต้มแล้วก็สบายดี
“เมื่อคืนแกเอายาอะไรให้ฉันกิน”
นางกิมหงษ์ก็เล่าความจริงให้ฟัง
นายเงื่อนก็งง เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง นึกถึงความฝันเมื่อคืนเคลิ้มหลับไปเมื่อใกล้รุ่ง
“ฉันฝันว่า มีพระหลวงตาแก่ๆ
ห่มจีวรหม่นๆ เอาขันน้ำมาให้ฉันดื่มกิน ฉันดื่มเข้าไป แปลกแฮะ”
“นี่ฉันบนไว้ด้วยนะ
ว่าหายจะเอาไปเลี่ยมทองไว้บูชา”
“ดี ฉันจะเอาไว้คล้องคอ แกเป็นผู้หญิงพกพระพกเจ้าไปทำไม” นายเงื่อนว่า
สองสามวันต่อมา
นายเงื่อนก็ไปหาหลวงพ่อเพ็งที่วัดโพธิขวาง ไปเล่าเรื่องพระสมเด็จให้ฟัง
เมื่อคราวต้องขังและเป็นโรคท้องร่วง
“หลวงพ่อ
พระเครื่องน่ะศักดิ์สิทธิ์จริงหรือ”
“ก็สุดแล้วแต่ผู้ศรัทธาเลื่อมใส
ถ้าว่าศรัทธาเลื่อมใสยึดเอาเป็นที่พึ่งที่ระลึก ก็ศักดิ์สิทธิ์”
“อ้าว
ทำไมจึงใช้ไม่ได้ผลทุกคน” นายเงื่อนตั้งข้อสงสัย
“ธรรมดาของใช้ทุกอย่างก็ใช้ได้ผลเหมือนกันทุกคน เช่นปืนอย่างงี้ ใครยิงก็ดังทุกคน พระเครื่องทำไมใช้ไม่ได้ผลทุกคน?”
“ก็ปืนนั่นน่ะ คนใช้ต้องยึดถือไว้
ต้องรู้จักวิธีใช้เหมือนกันแหละจ้ะ” นายเงื่อนพยักหน้ารับแสดงว่าเข้าใจ
“แต่ปืน
เราต้องยึดถือด้วยกาย หากเป็นวัตถุมงคล เราต้องยึดถือด้วยใจ
รู้จักใช้ด้วยใจ”
“ยึดถือด้วยใจยังไงหลวงพ่อ”
“ด้วยความนับถือศรัทธาเลื่อมใส”
“รู้จักวิธีใช้ด้วยใจอย่างไรครับ”
“ก็อาราธนาให้ช่วย ยามมีภัย
ยามคับขัน เกิดอันตรายไม่มีที่พึ่งแล้ว”
“ผมสงสัยว่า
พระสงฆ์ก็ลูกพระพุทธเจ้า ทำไมจึงมาสร้างพระพุทธเจ้าขึ้น มาปลุกเสกพระพุทธเจ้าขึ้น
อย่างนี้ไม่เรียกว่าลูกสร้างพ่อหรือครับ?”
“ไม่ใช่ลูกสร้างพ่อ พระเครื่องนี่เป็นพระปฏิมากร เป็นสิ่งสมมุติแทนองค์พระพุทธเจ้า
สร้างไว้เป็นที่พึ่งที่ระลึก เหมือนลูกถ่ายรูปพ่อแม่ไว้บูชา”
“แล้วทำไมต้องปลุกเสก?”
“ปลุกเสก เป็นการตั้งจิตอธิษฐาน ประจุพลังจิต พลังปราณ
บรรจุแรงอธิษฐานลงไปจ้ะ”
“แล้วพลังจิต
จะอยู่ที่องค์พระได้อย่างไร?”
“อยู่ซีจ๊ะ ก็เหมือนกับอัดเพลงลงแผ่นเสียง
ไขเมื่อไรก็เป็นเพลงเมื่อนั้นแหละจ้ะ ไม่ไข ไม่เปิดก็ไม่เป็นเสียงเพลง ก็นอนนิ่งๆ
อยู่ในแผ่นเสียง ต้องรู้จักไข รู้จักเปิดหีบเพลง
จึงจะเป็นเพลง” หลวงพ่ออธิบาย “พระเครื่องก็เหมือนกัน ต้องมีการประจุพลังจิต แรงอธิษฐานลงไป ต้องรู้จักอาราธนาติดตัวไป
หรืออาราธนาคราวมีภัยอันตราย ไม่ใช่พกติดตัวไว้เฉยๆ
แล้วก็จะช่วยได้ทุกคน เข้าใจไหมจ๊ะ”
นายเงื่อน
รู้สึกแปลกใจอัศจรรย์ใจในคำอธิบายของหลวงพ่อเพ็ง
ซึ่งไม่เคยได้ยินใครอธิบายให้เข้าใจอย่างนี้ นายเงื่อนจึงเกิดความเคารพหลวงพ่อเพ็ง
ว่ามีความรู้แจ่มแจ้งในทางจิตยิ่งกว่าพระองค์ใดที่ได้พบมาก่อน
“แรงอธิษฐาน
มีจริงหรือครับหลวงพ่อ?”
“มีจริง
แต่ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสัจ ความจริง ความบริสุทธิ์ใจ พื้นฐานนี้เหมือนแท่งหิน
แรงอธิษฐานเหมือนมีดกรีดลงไป ย่อมมีรอยปรากฏบนแท่งหิน ถ้าหากไม่มีความจริง ความสัจ ความบริสุทธิ์ พื้นฐานก็เหมือนพื้นน้ำ
เอามีดกรีดลงไปก็ไม่มีรอย”
“พระเครื่องเปรียบเหมือนพื้นแท่งหิน?”
“ถูกแล้ว
พระเครื่องเป็นสิ่งสมมุติว่าเป็นพื้นฐานความจริง ความสัจ ความบริสุทธิ์ อำนาจจิตเหมือนคมมีดกรีดลงไป ย่อมจะมีรอยปรากฏ คนที่เอาพระเครื่องไปใช้ ก็เหมือนเอาวัตถุที่สมมุติเป็นพื้นฐานความจริงความสัจ
ความบริสุทธิ์อันนี้ เป็นสื่อระหว่างจิตใจของผู้ใช้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คนที่ใช้พระเครื่องจึงต้องมีความจริง ความสัจ
ความบริสุทธิ์ใจด้วย จึงจะใช้ได้ผล”
นายเงื่อน
ก้มลงกราบหลวงพ่อเพ็ง ๓ ครั้ง ดูเหมือนตั้งแต่พบหลวงพ่อเพ็งมา
ยังไม่เคยก้มกราบด้วยความเคารพเลย
เพียงแต่ยกมือประนมไหว้ตามธรรมเนียมพบพระเท่านั้น
นับตั้งแต่วันนั้นมา
นายเงื่อนก็พกพระสมเด็จเป็นประจำ เอาไปเลี่ยมทองแขวนสายสร้อยห้อยคล้องคออยู่ตลอดเวลา
วันหนึ่งนายเงื่อนก็ไปหาหลวงพ่อเพ็งอีก
ตั้งปัญหาถามหลวงพ่อว่า
“คนอย่างผมนี่
จะเป็นคอมมิวนิสต์ได้ไหม?”
“ถามใจตัวเองซีจ๊ะ”
“ในสายตาของหลวงพ่อ
คิดอย่างไร?”
“คนอย่างนายเงื่อนน่ะ
เป็นคอมมิวนิสต์ได้ง่าย แต่ถ้านายเงื่อนนับถือพระอย่างจริงใจแล้ว
ก็เป็นคอมมิวนิสต์ไม่ได้หรอก”
“ผมจะเป็นคอมมิวนิสต์ได้ยังไงครับ
คอมมิวนิสต์ก็เหมือนหมูในเล้า
ต้องอยู่แต่ในเล้า ไปไหนทำอะไรไม่ได้ ผมมันชอบเป็นหมาวัด
ทำอะไรไปไหนได้ตามใจชอบ”
หลวงพ่อเพ็งหัวร่อชอบใจ
พึ่งเห็นหลวงพ่อเพ็งหัวร่อชอบใจวันนี้
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น